วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

. . Return 2 Love . .

นำมาจาก : http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=icu11&topic=13&Cate=11

. . Return 2 Love . .

ตอนที่ 1 เริ่มต้น


“..ไม่....อย่าไปนะเฮอร์ไมโอนี่..อย่าปายยยยย......”

เสียงตะโกนก้องดังออกมาจากปากชายหนุ่มผมสีทองยาวปะบ่า นัยย์ตาสีซีดลืมขึ้น พร้อม ๆ

กับกระเด้งตัวลุกมานั่งหอบหายใจอยู่บนเตียงสี่เสาขนาดคิงไซด์มีผ้าสีขาวบาง ๆ ห้อยระย้าคลุมอยู่รอบเตียง

ซึ่งสลักเสลาเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง ชายหนุ่มกวาดตาไปรอบ ๆ ห้องส่วนตัวของเค้า

ห้องนอนภายในคฤหาสถ์มัลฝอย เป็นห้องนอนที่สวยที่สุด หรูหราที่สุด กว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

แต่มันก็เป็นห้องที่เงียบเหงา ว้าเหว่ที่สุดเช่นกัน ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ

พร้อมกับปล่อยมันออกมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

เสมือนหนึ่งว่าจะให้มันช่วยขับไล่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ออกไป



“เฮ้อออ…” ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พร้อมกับหลับตาเพื่อจะได้เข้าสู่นิทรารมณ์ที่แสนสุข

อย่างน้อยก็หวังว่าจะสุข แต่แล้วเค้ากลับพบว่า ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้อีกต่อไป

ชายหนุ่มเหลือบตามองไปที่นาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง



“ตีสี่แล้ว คงนอนไม่หลับแล้วมั้งเรา” รำพึงออกมาเบา ๆ ขณะแหวกม่านออกเพื่อที่จะลุกไปทำกิจวัตรประจำวัน

พร้อมกับระลึกถึงความฝันที่ทำให้เค้าต้องตื่นก่อนเวลาที่ควรจะตื่น

ในฝันเค้าเห็นตัวเองกำลังมองเฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ เดินจากเค้าไปอย่างช้า ๆ โดยที่ตัวเองไม่สามารถไขว่คว้า

หรือห้ามปราบเธอเอาไว้ได้



“นี่เราต้องฝันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนนะ 5 ปีที่เราจากกัน 5 ปีที่เธอทิ้งชั้นไป 5 ปีที่ทรมาณ”

เค้าฝันแบบนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เป็นเวลากว่า 5 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ที่ตัวเค้าเรียนจบ

และทำงานในบริษัทที่เค้าก่อตั้งขึ้นมาเอง เป็นบริษัท ที่มีกิจการติดต่อค้าขายกับมักเกิ้ลจากทั่วโลก

ใช่..ทำงานกับมักเกิ้ล นี่เค้าไม่ได้หันมาชอบหรือสนใจอะไรกับคนพวกนี้หรอกนะ

เค้ายังเกลียดพวกเลือดสีโคลนพวกนี้เหมือนเดิม แต่ที่เดรโก มัลฟอย คุณหนูผู้สูงส่งสายเลือดบริสุทธิ์

ยอมลดตัวลงมาทำงานกับพวกนี้ ก็เพียงเพราะว่าเค้าอาจจะได้ข่าวคราวจาก เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์

หญิงสาวเลือดสีโคลน คู่ปรับของเค้า และคนที่เค้ารักบ้าง




“นี่ถ้าชั้นพูดออกไป เราคงไม่ต้องมาทรมาณกับความฝันบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้อีก แล้วเรา...เธอกับชั้น

ก็คงมีความสุขด้วยกันไปแล้ว แค่คำว่ารักคำเดียวเท่านั้น” เค้าจำได้ไม่มีลืม

เหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่เค้าเป็นผู้เริ่มต้น และมีเธอมาช่วยสานต่อมีอันต้องจบลง

มันเริ่มมาจากวันนั้น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ขณะที่เค้าเรียนอยู่ปีสุดท้าย..........



*-*-*-*-*-*-*



เช้าวันคริสมาสต์ทุกหนทุกแห่งบริเวณโรงเรียนเวทมนตร์ฮอกวอตส์เต็มไปด้วยสีขาวโพลน

เนื่องจากหิมะที่ตกมาอย่างหนักเมื่อคืนนี้ ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบดูโรแมนติก และสวยงาม

แต่ก็แฝงไปด้วยความเงียบเหงาเช่นกัน และเนื่องจากวันนี้เป็นวันคริสมาสต์และโรงเรียนปิดการเรียนการสอน

เพื่อให้เด็กนักเรียนได้กลับไปฉลองคริสมาสต์กับครอบครัว

แต่ก็มีนักเรียนบางส่วนสมัครใจที่จะอยู่ที่นี่มากกว่าจะกลับไปบ้าน แต่กระนั้นก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น

และขณะนี้ก็ยังเช้าอยู่มาก จึงยังไม่มีนักเรียนคนไหนตื่น โรงเรียนจึงค่อนข้างเงียบ



นักเรียนส่วนใหญ่ (ที่ไม่ได้กลับบ้าน) ยังคงนอนอยู่บนที่นอนหนานุ่ม ภายใต้ผ้าห่มที่อบอุ่น

ไม่มีใครอยากลุกออกมาในเวลาที่อากาศเป็นใจแก่การนอนเช่นนี้ ยกเว้นชายหนุ่มนัยย์ตาสีซีด

ที่บัดนี้ออกมาอยู่นอกปราสาท และกำลังเดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย

ผมสีทองของเขาต้องกับแสงอาทิตย์แรกของวันคริสมาสต์ ส่งผลให้เกิดประกายประหลาด ทั้งเจิดจ้าร้อนแรง

และอบอุ่นนุ่มนวล ชุดสีดำของเขาตัดกับหิมะบนพื้นอย่างชัดเจน ให้ทั้งความขัดแย้ง และความกลมกลืน




เดรโก มัลฟอย ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจกับสิ่งแวดล้อมที่สวยงามตรงหน้า

ไม่สนใจทะเลสาบที่บัดนี้กลายเป็นน้ำแข็ง สะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับสวยงามจับใจ

ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงร้องประหลาดที่ดังออกมาจากป่าต้องห้าม เสมือนว่ากำลังร้องเพลงต้อนรับคริสมาสต์

ในใจของเขาตอนนี้ คิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่โรงเรียนในวันนี้

แทนที่จะได้กลับคฤหาสถ์มัลฟอย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหน้าที่ประธานหนังเรียนที่เขาได้รับ

ทำให้เขาต้องอยู่เพื่อดูแลความเรียบร้อย แต่อีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญมาก ก็คือ

เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เขารู้ว่าเธอจะต้องอยู่ที่โรงเรียนเช่นกัน

เพราะเธอเองก็เป็นประธานนักเรียนคนหนึ่ง และที่สำคัญ ตอนนี้เธอไม่มีผู้คุ้มกันคอยอยู่ใกล้ ๆ

เพราะทั้งเจ้าวิสลี่และเจ้าพอตเตอร์ มันกลับไปฉลองคริสมาสต์กับครอบครัว มันเป็นโอกาสของเขาแล้ว

โอกาสที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ



“เกรนเจอร์ เราจะได้เห็นกัน” เขาเผลอพึมพำสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แววตามุ่งมั่นเอาจริง

ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในปราสาท เพื่อเตรียมตัวสำหรับอาหารเช้า และสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ




*-*-*-*-*-*-*-*




เวลาเดียวกัน ภายในหอนอนกริฟฟินดอร์

แสงแดดอ่อนละมุนรอดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับผิวละเอียดนุ่มของหญิงสาว

ซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนสี่เสา

ทรวงอกเต่งตึงกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยเป็นจังหวะสม่ำเสมอรับกับการหายใจ

ริมฝีปากเผยอเล็กน้อยคล้ายกับกำลังยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่า หญิงสาวผู้นี้กำลังอยู่ในนิทรารมณ์อันแสนสุข

ถ้ามีใครได้ผ่านมาเห็นคงจะต้องตกตะลึงกับความงามราวภาพวาดนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครได้เห็น

เพราะขณะนี้หญิงสาวนอนอยู่เพียงลำพังเท่านั้น เตียงที่เหลือว่างเปล่า

เพราะเพื่อนร่วมห้องของเธอกลับบ้านฉลองคริสมาสต์กันหมด




“อือ...อืม เช้าแล้วสินะ” ในที่สุด หญิงสาวก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยย์ตาสีน้ำตาลภายใต้ดวงตากลมโต

ซึ่งกำลังกระพริบเร็ว ๆ เป็นการปรับสายตาให้ชินกับความสว่างของห้อง พร้อมกับบิดขี้เกียจน้อย ๆ

ขับไล่ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับมาตลอดทั้งคืน




ใช่แล้ว เธอคือเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นประธานนักเรียน

แต่เธอเลือกที่จะนอนในหอกริฟฟินดอร์มากกว่าหอประธานนักเรียน

เธอจะใช่หอประธานนักเรียนเฉพาะทำงานเท่านั้น หญิงสาวกวาดตาไปรอบ ๆ ห้องก่อนจะมาจบที่เพดาน

พร้อมกับนึกถึงความฝันเมื่อคืน เธอฝันว่าอะไรนะ? เธอจำไม่ได้หรอก แต่มันเป็นฝันที่มีความสุขมาก ๆ

เลย ทำให้วันนี้เป็นวันที่สดใสสำหรับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องมาอยู่ที่โรงเรียน

แทนที่จะได้กลับไปฉลองวันคริสมาสต์กับครอบครัว เธอยิ้มให้กับตัวเอง พร้อมรำพึงเบา ๆ




“เดี๋ยวก่อนไปกินข้าว เอาของขวัญไปส่งก่อนดีกว่า”

เธอตั้งใจไว้ว่าจะเอาของขวัญวันคริสมาสต์ที่เตรียมไว้ไปที่โรงนกฮูก และส่งไปให้กับ พ่อ แม่ รอน

และแฮรี่ เพื่อนรักทั้งสอง ก่อนที่จะถึงเวลาอาหารเช้า




“งั้นต้องรีบไปอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน” พูดจบหญิงสาวก็กระโดดลุกขึ้นจากเตียงทันที

นี่เป็นสิ่งที่เธอมักจะทำเมื่อตื่นนอน การกระโดดลุกจากเตียงจะทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

และแจ่มใสไปตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นหญิงสาวก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป




ผ่านไปสักครู่ หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ พร้อมซับผมที่ชื้นซึ่งเกิดจากการอาบน้ำ

แล้วแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคว้าของขวัญที่เตรียมส่งมาถือไว้

แต่ก็ไม่วายหยิบหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่ม ‘เผื่อมีเวลาจะได้อ่านสักรอบ’ คิดแล้วก็รีบเดินลงบันไดไป

ผ่านห้องโถงรวม กล่าวทักทายนักเรียนรุ่นน้องที่ไม่ได้กลับบ้านเล็กน้อย แล้วรีบก้าวยาว ๆ ออกจากหอไป




หญิงสาวเดินอย่างรีบร้อน เพื่อจะไปส่งของที่โรงนกฮูก ขณะกำลังจะเดินออกจากประตูปราสาท ก็พอดีกับที่คน

ๆ หนึ่งเดินเข้ามา แต่เธอไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนเดินสวนเข้ามา จึงชนโครมเข้ากับคน ๆ

นั้นที่ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน ส่งผลให้คน ๆ นั้น ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น

โดยมีตัวเธอล้มลงมาทับอีกทีหนึ่ง กลายเป็นว่าทั้งสองคนกอดกันกลมอยู่บนพื้น (หนังไทยชัด ๆ)




“โอ๊ยยยยยย.....ไม่มีตารึไง ถึงมองไม่เห็นคนเขาเดินมา” มัลฟอยกล่าวน้ำเสียงโกรธจัด

‘ยัยนี่เป็นใครถึงกล้ามาทำให้ชั้นเจ็บตัวได้’ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้คนที่ชนเค้าออกจากอ้อมแขน

‘หอมแฮ่ะ’




“ขะ..ขอโทษนะ ชั้นไม่ดะ........มัลฟอย”

เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนขึ้นมาหลังจากดันตัวออกจากอ้อมแขนของคนที่เธอชนล้ม แล้วเห็นว่าคน ๆ นั้น คือ

มัลฟอย!!!




ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงมองหน้ากันไปมา ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ตัวว่าตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนของมัลฟอย

ก็ปาเข้าไปเกือบนาที




“ปล่อยชั้นนะ” พร้อมกับผลักมัลฟอยล้มลงก้นกระแทกพื้นอีกครั้ง




“โอ๊ยยยย นี่ยัยบ้า ชั้นเจ็บนะ ทำไรของเธอ” มัลฝอยนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ




“สมน้ำหน้า นายอยากมาแต๊ะอั๋งชั้นก่อนทำไม” พูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็แล่บลิ้นใส่หน้ามัลฟอย

พร้อมกับเดินจ้ำอ้าวออกไป




“แต๊ะอั๋งเหรอ เมื่อกี้เค้าไม่เรียกว่าแต๊ะอั๋งหรอก” ชายหนุ่มมองตามหญิงสาวร่างบางไป พร้อมกับลุกขึ้น

“มันต้องต่อจากนี้ต่างหาก” แล้วออกเดินไปทางที่เฮอร์ไมโอนี่เพิ่งจะเดินไป




*-*-*-*-*-*-*-*-*




ตอนที่ 2 ปฏิบัติการ




หลังจากแยกจากมัลฟอยมาแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มอีกเลย ว่าเค้าจะเป็นยังไง

เพราะเธอมีเรื่องที่จะต้องทำในตอนนี้ คือส่งของขวัญให้กับคนสำคัญ โรงนกฮูกในเวลานี้ไม่มีใครอยู่เลย

ก็แน่ล่ะ ป่านนี้ทุกคนคงต้องการอยู่ในปราสาทที่อบอุ่นมากกว่ามาหนาวเหน็บอยู่ข้างนอกแบบนี้

หญิงสาวเรียกนกฮูกที่ยอมออกไปฝ่าลมหนาวข้างนอกมาได้ 2 ตัว ตัวแรกเป็นนกฮูกหิมะสีขาวปนเทาเล็กน้อย

เฮอร์ไมโอนี่จัดแจงผูกของขวัญที่เตรียมให้กับพ่อ แม่ไว้ที่ขาของมัน พร้อมกำชับว่า




“ส่งให้ถึงนะ มันสำคัญกับชั้นมาก” แล้วตบขนคอของมันเพื่อแสดงความรักและไว้ใจ

เสร็จเรียบร้อยนกฮูกตัวนั้นก็ออกบินไปทันที




“ทีนี้ก็เหลือเจ้าแล้ว มาให้ชั้นผูกของซะดี ๆ” นกฮูกตัวนี้เป็นนกฮูกรัสเซีย สีเทาปนน้ำตาล

มันทำลีลาเล็กน้อย เพื่อให้เห็นว่ามันสำคัญ ก่อนจะยอมให้ผูกขาแต่โดยดี “ส่งให้ถึงมือแฮรี่ กับรอนนะ

ขอบใจมาก” แล้วนกฮูกตัวนั้นก็บินตามนกฮูกตัวแรกไป




เฮอร์ไมโอนี่มองตามนกฮูกตัวที่สองไป พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ‘ป่านนี้รอน กะ

แฮรี่กำลังทำอะไรอยู่น้า’




“นี่ คิดอะไรอยู่” เสียงกระซิบแผ่วเบายานคางดังอยู่ข้างหู ทำเอาเธอขนลุกซู่

พร้อมกับที่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังคืบคลานอยู่ที่เอวของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก้มลงไปมองที่เอว

มือของมัลฟอยกำลังกอดเอวเธออยู่ พร้อมกระชับวงแขนให้แน่นเข้าเพื่อให้แผ่นหลังของเธอ

แนบสนิทกับอกกำยำของเขา นอกจากนั้น มัลฟอยยังเอาคางมาเกยอยู่ที่หัวไหล่ข้างซ้ายของเธอ

ทุกครั้งที่เขาหายใจ ลมหายใจของเขาจะเป่ารดอยู่ใบหูของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้สักนิดว่าเขาตามเธอมาด้วย

จึงไม่ทันได้ระวังตัว




“ว่าไง คิดอะไรอยู่” เวลาพูด ชายหนุ่มจงใจให้ริมฝีปากสัมผัสใบหูของหญิงสาว

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้คิดอะไรกับเขา

นอกจากเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเท่านั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะอดหวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขา

หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

จึงเป็นโอกาสของมัลฟอยที่จะ’แต๊ะอั๋ง’เธอได้เต็มที่ ริมฝีปากของเขาเริ่มไล่ลงมาจากใบหู

ไปที่แก้มขาวเนียนหอมฟุ้ง มัลฟอยสูดหายใจดัง ๆ “หอมจัง”




นั่นแหละถึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัว หญิงสาวพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนของชายหนุ่ม

ยิ่งดิ้น อ้อมแขนก็ยิ่งรัดแน่นเข้า ๆ “ปล่อยนะ มัลฟอย”




ชายหนุ่มไม่พูดอะไรเลย นอกจากหัวเราะ หึหึ แล้วฝังจมูกลงไปที่ซอกคอของหญิงสาว

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่สะดุ้ง หน้าแดงหนักกว่าเก่า และดิ้นรนมากขึ้นกว่าเดิม




“นายทำบ้าอะไรของนายน่ะ ปล่อยชั้นนะ” หญิงสาวร้องตะโกนเสียงสั่น ๆ




“ก้อแค่....” ชายหนุ่มหอมแก้มเธออีกครั้ง และจงใจเว้นคำตอบเอาไว้




“แค่อะไรมัลฟอย”




“แค่จะบอกเธอว่า มะกี้เค้าไม่เรียกว่าแต๊ะอั๋งหรอก” ย้ายมาหอมแก้มอีกข้าง “มันต้องแบบนี้ต่างหาก”




หญิงสาวตะลึง ‘นี่เค้าแกล้งชั้นหรอเนี่ย’ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังคิดอยู่นั่น

มัลฟอยก็หอมแก้มเธออีกครั้ง พร้อมกับกล่าวว่า “มันไม่จบแค่นี้แน่ เกรนเจอร์ เจอกันที่โต๊ะอาหาร”

แล้วชายหนุ่มก็ปล่อยเธอเป็นอิสระ แล้วเดินออกจากโรงนกฮูกไป




*-*-*-*-*-*-*-*-*




เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมาจากโรงนกฮูกด้วยภาวะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เธอเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

พร้อมกับยกมือประคองใบหน้าบริเวณที่โดนมัลฟอยขโมยหอมแก้มเธอ หญิงสาวหน้าแดงเมื่อนึกถึงรสสัมผัสของเขา

นี่เธอควรจะโกรธสิ ควรจะรังเกียจสัมผัสนั้น เค้าเป็นศัตรูของเธอนะ แต่นี่นอกจากเธอไม่โกรธแล้ว

เธอยังรู้สึกดีอีกด้วย และอยากจะได้รับสัมผัสนั้นอีก




“ไม่นะ เธอต้องโกรธสิ เธอต้องรังเกียจสิเฮอร์ไมโอนี่” หญิงสาวรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตนเอง

จนกระทั่งไม่รู้ตัวว่าเดินมาถึงห้องโถงรวมได้ยังไง เฮอร์ไมโอนี่ผลักประตูเข้าไป

ภายในห้องโถงรวมมีเพียงโต๊ะตั้งอยู่กลางห้องเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น

เนื่องจากนักเรียนที่อยู่ที่โรงเรียนในวันคริสมาสต์มีแค่ประมาณ 30 คนเท่านั้น

ศ.ดัมเบอร์ดอร์จึงจัดการให้นักเรียนทั้งหมดมานั่งรวมกันจะได้ไม่เงียบเหงา




หญิงสาวกวาดตามองไปยังนักเรียนแต่ละคน จนกระทั่งมาสะดุดกับสายตาเปล่งประกายของใครคนหนึ่ง

มัลฟอยมองมาที่หญิงสาวตั้งแต่เธอเปิดประตูเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวก็มองเขาอยู่

เขาจึงขยิบตาและทำปากห่อ ๆ คล้าย ๆ กับกำลังส่งจูบมาให้เธอ ทำเอาหญิงสาวหน้าแดง รีบหันหน้าหนี

แล้วเดินไปนั่งกับนักเรียนกริฟฟินดอร์แถว ๆ ปลายโต๊ะห่างจากมัลฟอยหลายเมตร

แล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างตั้งใจเกินเหตุ จนมัลฟอยอดขำไม่ได้กับท่าทีของเธอ ‘ยัยเลือดสีโคลนเอ๊ย’

รอยยิ้มเยาะ ๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากชายหนุ่ม แต่แค่แวบเดียวก็หายไป




หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตากินทั้ง ๆ ที่ไม่รู้รสชาติของอาหารเลยสักนิด เฮอร์ไมโอนี่รวบช้อนส้อม

แล้วดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบลุกขึ้น เธอไม่อยากอยู่ในนี้ โดยมีมัลฟอยอยู่ด้วย

เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเช้า หญิงสาวรีบออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว

โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตเธอในอนาคต




เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมานอกปราสาทจนถึงบริเวณทะเลสาบที่เงียบสงบ (ทำไมต้องทะเลสาบ กี่เรื่อง ๆ

ก็ทะเลสาบ) ซึ่งบัดนี้ปราศจากผู้คน

เพราะส่วนใหญ่จะหาความอบอุ่นจากในปราสาทมากกว่าอยากออกมาสัมผัสอากาศหนาวเย็นแบบนี้

แต่ไม่ใช่เฮอร์ไมโอนี่ เมื่อหญิงสาวพบมุมสงบของเธอเรียบร้อยแล้วจึงจัดแจงนั่งลง

และเริ่มต้นเปิดหนังสืออ่าน แต่ถ้าเธอสังเกตสักนิด เธอจะรู้ว่ามีใครบางคนแอบตามเธอมาอย่างเงียบ ๆ

โดยที่เธอไม่รู้ตัว




“ขยันจริงนะ ยัยหนอนหนังสือ ขนาดวันหยุดแท้ ๆ เธอยังมาอ่านหนังสืออยู่ได้”

เฮอร์ไมโอนี่หันขวับไปตามเสียงทันที แล้วก็พบว่ามัลฟอยกำลังยืนพิงต้นไม้ต้นข้าง ๆ ไม่ไกลจากเธอนัก

พร้อมกับกอดอกและปรายตามองมาทางเธอ แล้วจึงเบือนสายตามองไปที่ทะเลสาบที่กว้างใหญ่




หญิงสาวไม่ตอบอะไร เพราะกำลังรู้สึกระแวงว่าเขาจะมาไม้ไหนอีก

จึงจับตาดูเขาพร้อมกับล้วงไปกำไม้กายสิทธิ์เอาไว้แน่น

แต่มัลฟอยก็ไม่ได้เดินเข้ามาหาเธออย่างที่เธอนึกกลัว

เขาแค่นั่งลงเอาหลังพิงต้นไม้แล้วหลับตาลงด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่งงงันกับท่าทีของชายหนุ่ม เมื่อสังเกตดูแล้วว่าเค้าไม่มีทีท่าคุกคาม

หญิงสาวจึงเปิดหนังสือและเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ เฮอร์ไมโอนี่ก็อ่านหนังสือจนจบเล่ม

แล้วปิดหนังสือลงพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย ตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ก็ข้างนอกแบบนี้

ท่ามกลางหิมะมันหนาวน้อยซะที่ไหน หญิงสาวเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อจะเข้าไปในปราสาท

สายตาพลันเหลือบไปเห็นมัลฟอยนั่งพิงต้นไม้หลับอยู่ หญิงสาวเกือบลืมไปแล้วว่าเขาก็นั่งอยู่ด้วย




เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะปล่อยให้มัลฟอยนอนหลับต่อไป หรือปลุกเขาให้เข้าปราสาทไปพร้อมกับเธอ

แต่ในที่สุด เฮอร์ไมโอนี่ก็ตัดสินใจที่จะปลุกเขา เพราะถึงแม้ว่าเธอและเขาจะเป็นศัตรูกัน

แต่เธอไม่ใจร้ายพอที่จะปล่อยให้เขานั่งตากหิมะอยู่แน่ ๆ




“มัลฟอย ๆ ตื่นเถอะ” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนเรียกชายหนุ่มจากที่ที่เธอนั่งอยู่

แต่ชายหนุ่มไม่มีทีท่าจะรับรู้หรือขยับตัวสักนิด ทำให้หญิงสาวเขยิบเข้าไปใกล้เขามากขึ้น

เพื่อให้เขาได้ยินชัดขึ้น




“มัลฟอย ตื่นได้แล้ว ไม่งั้นชั้นทิ้งนายไว้ที่นี่นะ” ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากชายหนุ่ม




“มัลฟอย ตื่น” ทีนี้เฮอร์ไมโอนี่เข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม พร้อมกับเขย่าตัวเค้าแรง ๆ

เพื่อหวังให้เขาตื่นสักที แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด




“อ๊ะ.......” หญิงสาวร้องออกมาได้แค่นั้น เพราะเธอโดนมัลฟอยรวบตัวไปไว้ในอ้อมแขน พร้อม ๆ

กับที่ประทับริมฝีปากลงมาแผ่วเบา เหมือนเป็นการหยั่งเชิงว่าหญิงสาวจะขัดขืนหรือไม่




แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับนิ่งเงียบ ตัวแข็งทื่อ เพราะความตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้มัลฟอยเข้าใจว่า

เธอยินยอมให้เค้าจูบ จึงค่อย ๆ กดริมฝีปากให้หนักหน่วงและเร่าร้อนขึ้น

แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองมี

ความอบอุ่นที่ส่งมาจากมัลฟอยส่งผลให้เฮอร์ไมโอนี่เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ และเผลอตอบรับสัมผัสที่เขามอบให้

นั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มได้ใจ เขาใช้ริมฝีปากตัวเองบังคับให้หญิงสาวเผยอริมฝีปากออก

เพื่อเขาจะได้สอดลิ้นเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากปากของเธอ

และมือที่โอบรอบตัวหญิงสาวก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วทั้งแผ่นหลัง และต่ำลง ๆ จนลงไปหยุดที่สะโพกกลมมน




แต่ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกตัว

และทั้งผลักทั้งดันตัวเองให้พ้นจากวงแขนแข็งแรงของเขา

แต่ก็ทำได้เพียงแค่หลุดพ้นจากจูบอันเร่าร้อนเท่านั้น และเธอก็ยังอยู่ในอ้อมแขนเค้าเหมือนเดิม




“นี่นายทำบ้าอะไรของนายน่ะ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่สูดเอาอากาศเข้าไปให้เต็มปอด

หลังจากผ่านการแลกอากาศกับเขามาหยก ๆ ก่อนจะตะโกนถามชายหนุ่มเสียงดังลั่น

ทำเอานกที่ทำรังอยู่แถวนั้นแตกกระเจิงคนละทิศคนละทาง ใบหน้าของเธอเป็นสีแดงกล้ำ

บอกไม่ถูกว่าระหว่างอายกับโกรธสุดขีดมันเป็นอย่างไหน




“ชั้นทำอะไรเธอไม่รู้หรอ งั้นเดี๋ยวทำให้ดูอีกทีล่ะกัน” มัลฟอยพูดยานคางตามแบบของเค้า

ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันช่างกวน(อวัยวะเบื้องล่าง) เป็นที่สุด พร้อม ๆ

กับยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงและผลักไสชายหนุ่มเป็นพัลวัน




“ชั้นหมายถึง.....นายทำแบบนี้ทำไมต่างหาก” คราวนี้หญิงสาวไม่ได้ตะโกนแล้ว

แต่มองชายหนุ่มด้วยแววตาของคนที่กำลังค้นหาความจริง




“ชั้น.....ชอบเธอ และชั้นทำในสิ่งที่ชั้นอยากจะทำ ก็แค่นั้น”




“อะไรนะ” คำตอบของเค้าทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ตะลึง ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นแบบนี้

ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้




“นายชอบชั้นหรอ เป็นไปไม่ได้ ...นายล้อชั้นเล่นใช่มั้ย เราเป็นศัตรูกันมาตลอด

นายจะมาชอบชั้นได้ไง.....ใช้แล้ว นายต้องแกล้งชั้นแน่ ๆ จริง ๆ ด้วย นายจะมาชะ.........”




“หยุด” เฮอร์ไมโอนี่คงจะบ่นไม่หยุดแน่ ๆ ถ้าไม่มีเสียงมัลฟอยมาหยุดไว้

“ถ้าเธอไม่หยุดชั้นจะหยุดให้เอง…” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมหน้าตาเจ้าเล่ห์พิกล

“.....ด้วยปากของชั้นนี่แหละ” ได้ผลเฮอร์ไมโอนี่หยุดพูดทันทีแถมยังเอามือมาปิดปากเอาไว้

ทำเอามัลฟอยหัวเราะก๊ากออกมา




“ฮ่ะ...ฮ่ะ..ทะ..เธอนี่ตลกจริง ๆ เลย”

มัลฝอยคงจะหัวเราะต่อไปถ้าไม่มีสายตาขุ่นเขียวของสาวน้อยในอ้อมกอดมองเขม็งมา “โอเค ๆ ไม่หัวเราะแล้ว”

พร้อมกับยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ เป็นโอกาสให้เฮอร์ไมโอนี่หลุดพ้นจากอ้อมแขนของเขา

หญิงสาวรีบลุกขึ้นทันที พร้อมกับกระโดดไปยืนอยู่ไกล ๆ จากชายหนุ่ม




“นายต้องการอะไรก็ว่ามา ชั้นไม่มีเวลามาเล่นกะนายหรอกนะ” พูดเสร็จก็เอามือปิดปากไว้เหมือนเดิม




“เป็นแฟนชั้น” คำพูดเรียบ ๆ แต่ส่งผลมากมายต่อคนฟัง ‘มัลฟอยขอชั้นเป็นแฟน นี่มันเกิดอะไรขึ้น

โลกจะแตกแล้วรึไงนะ คนอย่างเค้าเนี่ยนะมาขอชั้นเป็นแฟน’

ท่าทางความคิดของเฮอร์ไมโอนี่คงจะส่งผ่านไปยังใบหน้า ทำให้มัลฟอยพูดขึ้นมาทันที




“เธอได้ยินถูกแล้ว เกรนเจอร์ แล้วโลกก็ไม่ได้แตกแน่นอน (แหม อย่างกับเข้ามาอยู่ในความคิดเลยนะ)

ทำไมเป็นแฟนชั้นมันน่ารังเกียจนักรึไง”




“ปะ..ป่าว แค่....” เฮอร์ไมโอนี่พูดไม่ออกว่าแค่อะไร จึงปล่อยให้มันเป็นอากาศไปซะ

แล้วต่างคนต่างก็เงียบไปทั้งคู่ จนในที่สุดมัลฟอยก็ทำลายความเงียบแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า




“ชั้นให้เวลาเธอตัดสินใจถึงหลังงานเลี้ยงคริสมาสต์วันนี้ แล้วชั้นจะมาเอาคำตอบ”

พร้อมกับมองหน้าเธอนิ่งเหมือนจะเป็นการบอกว่า ชั้นเอาจริงนะ ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ทำอะไรไม่ถูก

คิดในใจว่า คนมาขอเป็นแฟนเค้าขอกันแบบนี้รึไงนะ แต่ไม่ได้พูดออกมา ทำแค่พยักหน้า แล้วคว้าหนังสือ

หันหลังกลับ “งั้นชั้นไปก่อนนะ” โดยไม่รอคำอนุญาต หญิงสาวก็เดินออกไปทันที




ด้านมัลฟอยเค้ามองตามร่างบางที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในปราสาท

ด้วยสายตาที่นิ่งเฉยค่อนไปทางเย็นชา ก่อนจะลุกแล้วเดินเข้าปราสาทไปอีกคน




*-*-*-*-*-*-*

ตอนที่ 3 การตัดสินใจ




หลังจากแยกจากมัลฟอยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่รีบตรงไปที่หอกริฟฟินดอร์ทันที

เธอกลัวที่จะต้องเจอเค้าอีกในบริเวณปราสาท เธอยังไม่พร้อมเจอเค้าในตอนนี้

เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาทั้งวันไปกับการอ่านหนังสือ พูดให้ถูกคือ ให้หนังสือดูเธอมากกว่า

เพราะหญิงสาวอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ เอาแต่คิดว่าเธอจะตอบเค้ายังไง ใจเธอคิดยังไง

ว่ากันตามจริงแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้รังเกียจมัลฟอยสักเท่าไหร่ (แค่หมั่นไส้นิดหน่อยเท่านั้น)

เพียงแต่ทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเค้า หญิงสาวเอาแต่คิดเรื่องนี้วนไปวนมา

แต่ก็ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น หรืองานเลี้ยงวันคริสมาสต์




“เอาน่า เค้าอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ เฮอร์ไมโอนี่ อย่ากังวลไปหน่อยเลย” แต่เธอก็รู้ดีพอ ๆ กับทุกคน

(คุณไง) ว่ามัลฟอยคงไม่มีทางลืมได้ง่าย ๆ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เธอว่า

พอเธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงคริสมาสต์ในวันนี้

เธอก็เจอเข้ากับสายตาของชายหนุ่มที่มองตรงมาที่เธอ มันดูนิ่งและลึกเกินที่เธอจะเข้าใจ




เฮอร์ไมโอนี่พยายามไม่สนใจกับสายตานั่น เธอเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่มตลอดทั้งงาน

ซึ่งมัลฟอยเองก็ไม่ได้ทำท่าทีคุกคาม จนทำให้เธอวางใจ จนกระทั่ง

ศ.ดัมเบอร์ดอร์กระแอ่มเสียงดังเป็นการเรียกร้องความสนใจจากทุกคนในงาน




“อะแฮ่มๆๆ ทุก ๆ คนวันนี้ผมดีใจจริง ๆ ที่เราได้มาร่วมฉลองวันคริสมาสต์ด้วยกัน เอาล่ะ

เพื่อให้มีความครื้นเครงมากขึ้น ผมได้จัดให้มีวงดนตรีมาบรรเลงให้กับเรา

และอยากจะขอให้ประธานนักเรียนทั้งชายและหญิงของเรามาเป็นคู่เปิดฟลอร์ด้วย เอ้า เชิญ มิสเตอร์มัลฟอย

มิสเกรนเจอร์”




หลังจากดัมเบอร์ดอร์พูดจบ สายตาทุกคู่ในห้องนั้น พากันมองมาที่คนทั้งสอง ซึ่งอยู่คนละมุมห้อง

พร้อมกับปรบมือดังกึกก้อง(แค่ 30 คนเนี่ยนะกึกก้อง)

เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทางเลือกนอกจากย่อรับการโค้งของมัลฟอย

ซึ่งทันทีที่ดัมเบอร์ดอร์กล่าวจบก็ก้าวมาหาเธอทันที




ทั้งสองออกไปที่กลางฟลอร์ โค้งให้กันอีกครั้ง และมัลฟอยจับมือเธอไว้ มืออีกข้างก็โอบรอบเอวของเธอ

ทำให้ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมาก จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

เฮอร์ไมโอนี่หลีกเลี่ยงที่จะมองสบตาของเค้า เธอเลือกที่จะมองผ่านหูเขาไป

แต่มัลฟอยกลับเลือกที่จะจ้องหน้าของเธอ จนทำให้เธออึดอัด แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

หลังจากผ่านไปสักครู่ จนใกล้จะจบเพลง มัลฟอยจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น




“อย่าลืมสัญญาของเรา หลังจากงานเลี้ยงจบลง ชั้นจะรอเธออยู่ที่ประตู

หวังว่าคงเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วนะ” พอพูดเสร็จเพลงก็จบลงพอดี

ทั้งสองโค้งให้กันก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะถูกศ.ดัมเบอร์ดอร์ลากไปเต้นรำด้วย




เวลาผ่านไปพอสมควร ศ.มักกอลนากัล ประกาศว่าถึงเวลาที่นักเรียนทั้งหมดควรไปพักผ่อนได้แล้ว

และขอให้ประธานนักเรียนช่วยเดินตรวจดูความเรียบร้อยก่อนแยกย้ายไปนอน ซึ่งทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ใจหายใจคว่ำ







‘นี่ชั้นต้องอยู่กับมัลฟอยตามลำพังหรือเนี่ย โอย อะไรมันจะเหมาะเหม็งขนาดนี้เนี่ย’




แต่เธอก็ต้องไปอยู่ดี เพราะเป็นหน้าที่ ซึ่งตลอดเวลาที่เดินตรวจบริเวณโรงเรียนนั้น

มัลฟอยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว จนเธอชักงงกับท่าทีของเขา

หลังจากเดินตรวจโรงเรียนทางปีกซ้ายฝั่งตะวันตกเรียบร้อย (นึกเอานะ)

เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจทำไม่รู้ไม่ชี้จะเดินกลับหอนอน แต่มัลฟอยไวกว่า เขาคว้าข้อมือของเธอไว้

พร้อมทั้งดึงตัวเธอเข้ามาจนชิดกับเขา




“เธอนี่หลีกเลี่ยงเก่งจริงนะ แต่ชั้นไม่ยอมให้เธอเลี่ยงได้อีกหรอก” มัลฟอยหันซ้ายแลขวา

แล้วลากเฮอร์ไมโอนี่เข้าไปในห้องเรียนว่าง ๆ ห้องหนึ่ง ทันทีที่เข้ามามัลฟอยก็ล็อคประตู

และลากเฮอร์ไมโอนี่ไปที่เก้าอี้เก่าที่ตั้งอยู่ระหว่างโต๊ะสองตัว

บังคับให้หญิงสาวนั่งลงและเอามือวางบนโต๊ะสองตัวนั้น เพื่อกันไม่ให้หญิงสาวหนีได้

จึงกลายเป็นว่ามัลฟอยกำลังคร่อมตัวเธอไว้




“คำตอบล่ะ”




‘ไม่ค่อยรีบเลยนะ’ เฮอร์ไมโอนี่นึกในใจ ขณะที่นึกหาคำตอบไปด้วย

“เอ่อ...อ่า...ชะ...ชั้น...คือ...ชั้นคิดว่า......อืม......”




“ว่าไง ชั้นไม่ชอบรอนะ” มัลฟอยหรี่ตาลงอย่างมุ่งร้าย ทำให้เฮอร์ไมโอนี่อดรนทนไม่ไหว เผลอตะโกนออกไป




“นี่ นายจะมาขอชั้นเป็นแฟน หรือจะมาหาเรื่องชั้นกันแน่” พูดจบก็แทบจะกัดปากตัวเอง

เพราะมัลฟอยมองเธอนิ่ง ทำเอาหญิงสาวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่ามัลฟอยจะทำอะไรเธอมั่ง

แต่แล้วมัลฟอยก็ทำให้เธอประหลาดใจอีกครั้งด้วยการคุกเข่าลง และจับมือเธอเอาไว้




“ชั้นคงใจร้อนไปหน่อย ว่าแต่เธอตัดสินใจยังไงเกรนเจอร์” ท่าทางเค้าเหมือนคนที่กำลังคอยความหวัง

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ใจเต้นโครมคราม




“เอ่อ...ชั้น...ชั้นเองก็ไม่ได้รังเกียจเธอหรอกนะมัลฟอย แต่......”




“แต่อะไร” มัลฟอยสวนขึ้นแทบจะทันที “ว่าไง แต่อะไร” ชายหนุ่มชักเริ่มหงุดหงิด




“นี่นายจะรอฟังชั้นพูดให้จบก่อนไม่ได้หรือไงนะ ไม่รู้จะรีบไปไหน” ประโยคสุดท้ายเธอพึมพำกับตัวเอง




“ก็รีบ ๆ พูดมาสิ”




“แต่เราลองเป็นเพื่อนกันไปก่อนดีมั้ย คือชั้นหมายความว่า...” หญิงสาวรีบอธิบาย

เพราะเห็นสีหน้าผิดหวังของชายหนุ่ม “...ถ้านาย...เอ่อ ชอบชั้นจริง สักวันชั้นอาจจะคบกับนายก็ได้”

สังเกตว่าสีหน้ามัลฟอยยังไม่ดีขึ้น จึงรีบพูด “เอางี้ ชั้นจะไม่พิจารณาใครอีก นอกจากนายคนเดียว

พอใจมั้ย”




“ชั้นมีทางเลือกด้วยหรอ” มัลฟอยทรุดลงไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่พื้น พร้อมกับทำหน้าเซ็ง ๆ

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่หัวเราะกิ๊ก “เอาน่ามัลฟอย ตอนนี้ชั้นว่าเราแยกย้ายกันไปนอนก่อนดีกว่า

ชั้นง่วงแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมาฉุดมัลฟอยให้ลุกขึ้น

แต่มัลฟอยกลับดึงหญิงสาวลงมา ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่เสียหลักล้มลงไปบนตักมัลฟอยพอดิบพอดี




“ว้ายยยย...ทำอะไรน่ะมัลฟอย”




“ฮื้มมมม” มัลฟอยไม่พูดอะไร แต่กลับฝังจมูกลงที่ซอกคอของหญิงสาวแทน ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งหน้าแดง

เอามือผลักอกเค้าเพื่อให้เค้าหยุดการกระทำ แต่นั่นเป็นความผิดพลาด

เพราะมัลฟอยกลับรวบมือทั้งสองที่กำลังผลักเค้าเอาไว้ แล้วมองสบตาเธอนิ่ง จนเฮอร์ไมโอนี่ใจเต้นตึกตัก

ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกชนกัน แล้วจู่ ๆ มัลฟอยก็พูดขึ้น




“เรากลับกันเถอะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้น และฉุดเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมาด้วย “เดี๋ยวชั้นไปส่ง”

แล้วจูงหญิงสาวออกไปทางประตู ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่เหวอไปเหมือนกัน เพราะคิดว่าเค้าจะจูบเธอซะอีก




ทั้งสองเดินจูงมือกันไปเงียบ ๆ เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่า มัลฟอยมีสีหน้าเคร่งขรึม

แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไร จนกระทั่งมาถึงหอกริฟฟินดอร์ เฮอร์ไมโอนี่เหลือบมองมัลฟอยเล็กน้อย

กล่าวราตรีสวัสดิ์กับชายหนุ่ม ก่อนบอกรหัสผ่าน แล้วเดินเข้าหอไป

ถึงแม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะเดินเข้าหอไปแล้ว แต่มัลฝอยยังยืนนิ่งมองประตูที่หญิงสาวเพิ่งจะเร้นกายหายไป

ในใจของเค้ากำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง




“ไม่เดรโก หยุดสิ” ชายหนุ่มจับที่หัวใจตัวเองและกดมันไว้แน่น “แกจะเต้นไปหาอะไรหา

มันก็แค่แผนการเท่านั้น”




แววตาชายหนุ่มบ่งบอกถึงความสับสน แต่แล้วเค้าก็กดมันเอาไว้ได้ เปลี่ยนเป็นแววตาของมัลฟอยคนเดิม

คือมีแต่ความเย็นชา และน่ากลัว




*-*-*-*-*-*-*-*-*




ทั้งสองใช้เวลาวันหยุดคริสมาสต์อยู่ด้วยกันเกือบทั้งวัน จะห่างกันเฉพาะตอนไปนอนเท่านั้น

เฮอร์ไมโอนี่ปล่อยให้ตัวเองพิจารณาชายหนุ่มอย่างเต็มที่ตามที่รับปากเขาไว้ และค่อย ๆ

เปิดรับมัลฟอยเข้ามาในหัวใจทีละนิด ๆ โดยไม่รู้ว่ามันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน

ส่วนมัลฟอยเองก็คอยที่จะแหย่เฮอร์ไมโอนี่ตลอดเวลา เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นหญิงสาวงอน

โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า

ความรู้สึกของเค้าตอนนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ไม่มีอยู่ในแผนการของเค้าเลย

อะไรที่ไม่อยู่ในแผนการของเขานะเหรอ ความรักไงล่ะ




“เฮอร์ไมโอนี่” ทั้งสองเปลี่ยนมาเรียกชื่อกันแล้ว มันเป็นคำขอร้องของมัลฟอย ‘เฮอร์ไมโอนี่

ชั้นขอเรียกเธอแบบนี้นะ ได้รึป่าว’ มัลฟอยถามขึ้นในวันหนึ่งที่เขากำลังหนุนตักเฮอร์ไมโอนี่อยู่

‘ตามใจนายสิ’ พูดเสียงเรียบแต่ก็แอบหน้าแดงนิด ๆ ‘งั้นเธอก็เรียกชั้นว่าเดรโกด้วยสิ’

ตอนนี้เขาลุกขึ้นมาจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง ‘อือ...’ หน้าที่แดงอยู่แล้ว ยิ่งแดงมากขึ้น

‘งั้นก็เรียกสิ’ มัลฟอยเร่ง ‘ดะ...เดรโก’ ตั้งแต่นั้นทั้งสองมักจะเรียกกันแบบนี้เสมอ

แต่เฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น




“เฮอร์ไมโอนี่ ฟังอยู่รึป่าว”




“ว่าไงมะ...เอ่อ เดรโก” หญิงสาวรีบแก้ เพราะเห็นมัลฟอยจ้องเขม็ง




“ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่อยากรู้ว่าต่อจากนี้เราจะได้เจอกันอีกมั้ย”

เขาถามเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเปิดเรียนแล้ว แล้วเธอก็ต้องกลับไปอยู่กับเจ้าวิสลี่ กับเจ้าพอตเตอร์

และเขาคงไม่มีโอกาสได้อยู่กับเธอตามลำพังอีก




“มันก็ขึ้นอยู่กับนายว่าอยากจะเจอชั้นมั้ย เพราะชั้นเชื่อว่าถ้านายอยากเจอชั้น

นายต้องหาทางเจอชั้นจนได้” พูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็หันมายิ้มหวานให้มัลฟอย ทำเอาหัวใจเขากระตุก

แต่ก็รีบกดมันเอาไว้ แล้วเลี่ยงโดยการล้มตัวลงนอนหนุนตักหญิงสาว เขาไม่อยากสบตาใสบริสุทธิ์ในตอนนี้

เพราะมันอาจจะทำให้เขาหวั่นไหวได้

แต่เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจว่าเขางอนจึงก้มลงจูบหน้าผากชายหนุ่มเป็นการปลอบใจ ทำเอามัลฟอยแทบอดใจไม่ไหว

เขาอยากจะกอด อยากจะจูบ อยากจะสัมผัสร่างบางนั้น อยากเป็นเจ้าของเธอทั้งตัวและหัวใจ

เขาไม่รู้ว่าเริ่มรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน เวลาแค่ไม่กี่วันทำเอาเขาไขว่เขวได้ขนาดนี้

แต่เขาทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้ นึกอย่างเดียวว่าแผนการของเขาใกล้บรรลุผลแล้ว

และต้องทำให้สำเร็จให้ได้!!!!




...........................................................................




ตอนที่ 4 แผนการ




“เฮอร์ไมโอนี่ เป็นไงบ้าง ต้องฉลองคริสมาสต์ที่โรงเรียนแย่มากมั้ย”

รอนถามเสียงดังหลังจากสวมกอดเพื่อนรักของเขา แล้วปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่หันไปกอดทักทายแฮรี่บ้าง




“มันเยี่ยมที่สุดเลยรอน” หญิงสาวตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดคริสมาสต์ที่ผ่านมา

แต่นั่นกลับทำให้รอนและแฮรี่งงว่าฉลองคริสมาสต์ที่โรงเรียนเนี่ยมันเยี่ยมตรงไหน




“ฉลองคริสมาสต์ที่โรงเรียนมันเยี่ยมตรงไหน เฮอร์ไมโอนี่” รอนเกาหัวแกรก ๆ




“มีอะไรดี ๆ ที่พวกเราไม่รู้มั้ย เฮอร์ไมโอนี่” แฮรี่ถามบ้าง เพราะเขาสงสัยว่าต้องมีอะไรแน่นอน




“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แค่ชั้นได้อ่านหนังสือได้เต็มที่โดยไม่มีใครกวนน่ะ”

เฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะไม่บอกเพื่อนรักทั้งสองว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นระหว่างเธอและมัลฟอย




“นั่นน่ะนะ เรื่องเยี่ยมของเธอ อ่านหนังสือ เชื่อเขาเลย” รอนพ่นลมหายใจออกมาดัง ๆ

ทำให้เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองตาเขียว แฮรี่เห็นท่าว่าพายุกำลังก่อตัวขึ้น จึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจ




“ขอบใจนะเฮอร์ไมโอนี่สำหรับของขวัญ ชั้นชอบมันมากเลย”

แฮรี่ได้รับอุปกรณ์เสริมสำหรับไม้กวาดไฟร์โบร์ที่ออกใหม่ล่าสุด “ส่วนนี่ของชั้น หนังสือที่เธออยากได้”

แฮรี่มอบหนังสือเรื่องหลักการอ่านภาษารูนอย่างง่าย(คุณก็ทำได้)ให้กับเฮอร์ไมโอนี่ หญิงสาวดีใจมาก

ตรงเข้าสวมกอดเขาเร็ว ๆ หนึ่งที




“ชั้นก็มีของให้เธอนะ เฮอร์ไมโอนี่” รอนรีบบอกด้วยกลัวว่าแฮรี่จะแย่งความสนใจไปหมด

มันเป็นสมุดสำหรับเขียนไดอารี่ลวดลายน่ารัก ซึ่งทันทีที่เห็นเธอก็หลงรักมันทันที




“น่ารักจังรอน ชั้นชอบมันมากเลย”

หญิงสาวกอดเพื่อนรักของเธอแน่นเล่นเอารอนหน้าแดงแปร๊ดยิ่งกว่าสีผมซะอีก

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสาวของเขาก็ตามที




“เราไปกินข้าวกันเถอะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินตัวปลิวออกไป

ส่วนแฮรี่ก็ต้องลากรอนที่ยืนตัวแข็งทื่อออกไปด้วยความทุลักทุเล




*-*-*-*-*-*-*-*




นับตั้งแต่วันคริสมาสต์ที่มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่เริ่มต้นความสัมพันธ์แปลก ๆ ต่อกัน บัดนี้ก็ผ่านมาเกือบ

2 เดือนแล้ว ทั้งสองแอบเจอกันบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก ทุกครั้งที่พบกันเฮอร์ไมโอนี่มีความสุขมาก

และเฝ้ารอโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันอีกในครั้งต่อไป ใช่ เธอรักเขาเข้าแล้ว รักศัตรูอันดับหนึ่งของเธอ

เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นตรงไหน และไม่รู้ด้วยว่ารักเขาเพราะอะไร เธอไม่สนใจหรอก

ความรักไม่ต้องการเหตุผลไม่ใช่หรือ ไม่ต้องการระยะเวลาด้วย

ตอนนี้หญิงสาวแค่รอเวลาที่มัลฟอยจะเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟนอีกครั้ง และครั้งนี้คำตอบที่เธอจะมีให้ คือ

ตกลง




ส่วนมัลฟอยนั้นทุกครั้งที่เจอกัน นอกจากเวลาส่วนใหญ่ที่เอาไว้ใช้แหย่เฮอร์ไมโอนี่แล้ว

เขามักจะเหม่อลอย เขากำลังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง เขาควรจะทำตามแผนการของเขาต่อไป หรือ

ยกเลิกทุกอย่างเสีย แต่ตอนนี้เขาคงไม่สามารถถอยหลังกลับได้แล้ว เขาคงต้องทำตามแผนต่อไป

และอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว เขาตั้งใจว่าจะหาของขวัญให้เธอสักชิ้น

พร้อมเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟนอีกครั้ง แล้วครั้งนี้อาจเป็นการตัดสินว่าเขาจะทำอะไรต่อไป




*-*-*-*-*-*-*-*




วันนี้เป็นวันที่เด็กผู้หญิงทุกคนรอคอย วันแห่งความรัก!!

ทั้งโรงเรียนเต็มไปด้วยโมบายรูปหัวใจห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด ทั้งตามรูปปั้น ประตู โคมไฟ

และสถานที่ต่าง ๆ ที่พอจะแขวนได้ เหนือขึ้นไปนั้น กระดาษสีชมพูชิ้นเล็ก ๆ

นับล้านนับพันชิ้นถูกโปรยลงมาด้วยเวทมนตร์ และหายไปก่อนตกถึงพื้น แจกันถูกตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

ส่งผลให้ปราสาทที่เคยดูน่าเกรงขาม กลับสดใสขึ้นมาทันตา เด็กผู้หญิงต่างถือกล่องขนมเล็ก ๆ

ข้างในบรรจุช็อคโกแลตที่ทำเองบ้าง ซื้อเอาบ้างไว้ในมือ เพื่อรอมอบให้กับคนพิเศษ




เฮอร์ไมโอนี่เองก็เตรียมช็อคโกแลตเอาไว้สามกล่อง

สองกล่องที่เหมือนกันเป็นช็อคโกแลตแท่งสี่เหลี่ยมธรรมดา เธอตั้งใจมอบให้แฮรี่และรอนเพื่อนรัก

ก็วันวาเลนไทน์ไม่จำเป็นต้องมอบสิ่งดี ๆ ให้คนรักอย่างเดียวนี่นา ส่วนอีกกล่องแตกต่างออกไป

มันเป็นรูปหัวใจ ชิ้นนี้เธอตั้งใจมอบให้กับ ‘เขา’




เฮอร์ไมโอนี่เอาช็อคโกแลตอัน ‘พิเศษ’ ใส่ลงในกระเป๋ารวมกับหนังสือเรียน

แล้วถือช็อคโกแลตสองอันเอาไว้ในมือเพื่อที่จะมอบให้แฮรี่และรอนได้ทันทีตอนลงไปข้างล่าง

พวกเขารอเธออยู่แล้วที่ห้องโถงของกริฟฟินดอร์ ทั้งสองมองมือเธอแล้วยิ้มให้ โดยเฉพาะรอน

ก็เขาชอบช็อคโกแลตเป็นพิเศษนี่นา เฮอร์ไมโอนี่ยื่นช็อคโกแลตให้เพื่อนรักคนละกล่อง ก่อนจะกล่าวว่า




“แฮปปี้ วาเลนไทน์เดย์ รอน แฮรี่”




“แฮปปี้ วาเลนไทน์เดย์ เฮอร์ไมโอนี่” ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกัน ก่อนจะรับช็อคโกแลตจากเพื่อนสาว




“ว้าว น่ากินจังเลยเฮอร์ไมโอนี่ ชั้นกินเลยนะ” โดยไม่รอคำตอบ รอนแกะห่อช็อคโกแลต

และนำเข้าปากอย่างรวดเร็ว ทำเอาทั้งเฮอร์ไมโอนี่และแฮรี่ส่ายหน้าอย่างปลง ๆ ก่อนจะชวนกันไปกินอาหารเช้า







ขณะที่ทั้งสามเดินมาถึงประตูห้องโถงใหญ่ และกำลังจะเดินเข้าไปนั้นก็ได้มาพบกับจินนี่เข้า

เธอกำลังยืนหันซ้ายหันขวาในมือถือกล่องช็อคโกแลตอยู่ ทำท่าเหมือนกำลังลังเลใจอะไรสักอย่าง

รอนจึงถามขึ้นทันทีที่เข้าไปใกล้น้องสาว




“จินนี่นั้นเธอจะเอาช็อคโกแลตให้ใครหรอ” รอนทักเบา ๆ แต่เล่นเอาจินนี่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันกลับมามอง

เมื่อเห็นว่าเป็นรอน จึงยิ้มแหย ๆ ให้ ขณะที่ใบหน้ามีสีเข้มขึ้นมาด้วยความเขินที่พี่ชายมาเห็นเข้า

และเมื่อมองเลยไปข้างหลังพี่ชายและเห็นว่าแฮรี่ก็อยู่ด้วย เธอยิ่งหน้าแดงเข้าไปใหญ่

แต่ทำกลบเกลื่อนด้วยการทำหน้าบึ้งตึง และตอบพี่ชายไปว่า




“ไม่ได้ให้ใครทั้งนั้นแหละ เห็นเขาซื้อกันเลยซื้อบ้างเท่านั้นเอง แต่ไม่อยากกินแล้ว

กำลังนึกอยู่ว่าจะเอาไปทิ้งดีมั้ย” พร้อมกับทำท่าทีไม่สนใจ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเธอตั้งใจซื้อมา

เพราะอยากจะมอบมันให้กับแฮรี่ ในใจของหญิงสาวเธอยังคงชอบเขาอยู่

แต่เธอไม่อยากเจ็บปวดเวลาเห็นเขากับผู้หญิงอื่นอีก เหมือนครั้งโช

ทำให้เธอมักจะแสดงออกกับแฮรี่โดยการแขวะเขาเสมอ ๆ




“งั้นขอชั้นละกัน ชั้นอยากได้ ขอบใจนะ” โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

แฮรี่คว้าช็อคโกแลตกล่องนั้นไปจากมือจินนี่แล้วแกะออกกินทันที ทำเอาทั้งจินนี่ รอน

และเฮอร์ไมโอนี่ต่างงงกับการกระทำของชายหนุ่ม




“นี่ แฮรี่ พี่อย่ามากินของ ๆ เค้านะ ทำงี้ได้ไง” หลังจากตั้งสติได้

จินนี่ก็เข้าไปแย่งช็อคโกแลตจากแฮรี่หมายจะเอาคืน แต่แฮรี่เบี่ยงตัวหลบ

ทำเอาจินนี่เสียหลักกอดชายหนุ่มไปเต็ม ๆ

แฮรี่เองก็เอามือข้างที่ว่างที่ไม่ได้ถือช็อคโกแลตมาโอบประคองจินนี่ไว้กันล้ม




“เอ่อ ทั้งสองคนตกลงกันแล้วกัน ชั้นกับเฮอร์ไมโอนี่เข้าไปข้างในก่อนนะ”

รอนเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จินนี่จะได้อยู่กับแฮรี่ จึงรีบลากเฮอร์ไมโอนี่ออกมา




ทั้งแฮรี่และจินนี่ต่างมองตามทั้งสองคนที่กำลังเดินเข้าห้องโถง ก่อนหันมาสบตากัน

แล้วเป็นจินนี่ที่ต้องหลบสายตาคมกล้า หน้าแดง และพยายามที่จะเบี่ยงตัวออก แต่แฮรี่กลับไม่ยอมปล่อย

และจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสายตาสื่อความนัยบางอย่าง ทำเอาจินนี่ยิ่งหน้าแดงมากขึ้นไปอีก




“พี่จะปล่อยชั้นได้รึยังล่ะ ชั้นไม่เอาแล้ว อยากกินก็เชิญ” แฮรี่จึงจำใจต้องปล่อยจินนี่ไป

และมองตามหญิงสาวที่กำลังเดินเข้าห้องโถงไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจ




ด้านมัลฟอย เขาเองกำลังมองหาเฮอร์ไมโอนี่อยู่

เพราะเขาได้ส่งจดหมายไปนัดให้หญิงสาวมาพบที่ห้องเรียนว่าง ๆ ห้องหนึ่ง ซึ่งเธอตกลงว่าจะมาพบเขา

มัลฟอยเตรียม ‘บางสิ่ง’ เอาไว้ และตั้งใจจะมอบให้ พร้อมกับขอเธอเป็นแฟนอีกครั้ง

และเขาสังหรณ์ใจว่าครั้งนี้เธอจะโอเค และแผนของเขาก็จะสัมฤทธิผล เขาพยายามบอกตัวเองเสมอ

(โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงหญิงสาวผมฟูคนนั้น) ว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ

‘แผนการ’ เท่านั้น




เขาเห็นเธอแล้ว เธอเดินเขามากับเจ้าวิสลี่หน้าตกกระหัวแดงนั่น เขารู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

‘ทำไมต้องทำท่าสนิทสนมกับเจ้านั่นขนาดนั้นด้วยนะ แล้วดูสิ ดูมันทำเข้า น่าจับมาถอนขนนัก ฮึ้ม’

เขาไม่รู้เลยว่าสีหน้าเขาในตอนนี้มันสื่อทุกอย่างที่คิดออกมาทั้งหมด




“อะ..เอ่อ....มะ....มัลฟอย นายไม่เป็นไรใช่มั้ย”

แครบถามออกมาหลังจากสังเกตสีหน้าลูกพี่แล้วดูน่ากลัวพิลึก




มัลฟอยปรายตามองลูกน้องของเขา ส่งผลให้แครบถึงกับผวาทำช้อนที่อยู่ในมือตก แล้วมัลฟอยก็ลุกขึ้น

“ไม่ต้องตามมา” ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นหลังจากเห็นว่าลูกน้องทั้งสอง ‘แครบ’ และ ‘กอยล์’

ทำท่าจะลุกตามลูกพี่ของมัน แล้วมัลฟอยจึงเดินออกจากห้องโถงไป




เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นมัลฟอยลุกออกไปแล้ว จึงรีบดื่มน้ำแล้วลุกตามออกไปด้วยความรวดเร็ว

จนรอนที่กำลังจะอ้าปากถาม ได้แต่อ้าปากค้าง และมองตามไปด้วยความงุนงง




“นั่นเค้าจะรีบไปไหนของเค้านะ รู้มั้ยแฮรี่” รอนหันมาถามแฮรี่ที่กำลังนั่งมองจินนี่อยู่ “ไม่รู้สิ

รอน” ว่ากันจริง ๆ แล้วแฮรี่ไม่สนใจเฮอร์ไมโอนี่ด้วยซ้ำ

เพราะเขามัวแต่มองดูจินนี่ที่กำลังตักอาหารเข้าปาก กำลังคุยกับเพื่อน กำลังหัวเราะ

ทุกอย่างที่จินนี่ทำอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา แต่มันทำให้รอนเซ็ง ที่ต้องมาเห็นคนกำลังมีความรัก

ก็เขาไม่มีนี่นา ทำไงได้




นับตั้งแต่ที่มัลฟอยลุกขึ้นและเดินออกจากห้องโถงไป โดยมีเฮอร์ไมโอนี่เดินตามออกไปติด ๆ นั้น

ทั้งสองไม่รู้เลยว่าได้อยู่ในสายตาลึกลับของคน ๆ หนึ่งตลอดเวลา และเมื่อคนทั้งสองพ้นออกจากประตูไปแล้ว

คนลึกลับคนนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามคนทั้งสองไป




เฮอร์ไมโอนี่หลังจากรีบร้อนออกมาจากห้องโถงรวม ก็ได้ไปตามที่นัดกับมัลฟอยไว้

พอมาถึงหญิงสาวก็เปิดประตูเข้าไป และเห็นว่าชายหนุ่มกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะโดยที่หันหลังให้

จากที่รู้จักกันมาทำให้หญิงสาวรู้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ แต่เขาโกรธเรื่องอะไร

นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่รู้




“เดรโก เป็นอะไรรึป่าว” เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงแผ่ว ก็เวลาเขาโกรธมันน่ากลัวขนาดไหน ใคร ๆ ก็รู้

“เธอดู......ไม่ดีเลย” ค่อย ๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้




“ใช่สิ ชั้นมันดูไม่ดี ใครจะไปดีเหมือนเจ้าหน้าตกกระหัวแดงนั่นล่ะ” เขากำลังโกรธ

โกรธมากด้วยที่เห็นเธอไปสนิทสนมกับศัตรูของเขา เปล่านะ เขาไม่ได้หึงเธอ ก็เขาไม่ได้รักเธอนี่

เขาแค่ไม่ชอบที่มีคนมาเกาะแกะเธอ และไม่ชอบที่เธอไปสนิทสนมกับคนอื่น

ก็เธอต้องเป็นของเขาคนเดียวจะไปยุ่งกับคนอื่นได้ไง




“ชั้นขอโทษนะ ถ้าทำให้เธอโกรธ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ตาม”

พูดจบหญิงสาวก็เอื้อมมือมากอดชายหนุ่มเอาไว้หลวม ๆ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ชายหนุ่มหายโกรธแล้ว




“ช่างเถอะ ไม่สำคัญอะไรแล้วล่ะ” มัลฟอยกอดตอบ ก่อนจะจับไหล่เธอแล้วยืดออกไปจนสุดแขน

“ว่าแต่....วันนี้เธอไม่มีอะไรให้ชั้นมั้งหรอ” พูดพร้อมกับมองหน้าเธอล้อ ๆ เล่นเอาหญิงสาวหน้าแดง

ก่อนจะเปิดกระเป๋า แล้วหยิบช็อคโกแลตรูปหัวใจขึ้นมา ยื่นให้ชายหนุ่ม







“เอ้า..เอาไป กว่าจะทำเป็นรูปหัวใจได้ไม่ง่ายเลย รู้มั้ย” ใช่แล้ว ช็อคโกแลตชิ้นนี้เธอทำเองกับมือ

ตอนไปฮอกมิ้ดครั้งล่าสุด ที่นั่นเขามีร้านสอนทำช็อคโกแลตสำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ

และเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ไปเรียนพร้อมกับลาเวนเดอร์ และปราวตี (ส่วนของรอนกับแฮรี่

เฮอร์ไมโอนี่ซื้อมาจากร้านนั้นแหละ)




“นี่เธอทำเองเลยหรอ แล้วชั้นจะกินได้มั้ยเนี่ย” อีกแล้ว เขาแหย่เธออีกแล้ว

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่แก้มป่อง







“นายก็ลองกินดูสิ ถ้านายท้องเสีย ชั้นจะพานายไปห้องพยาบาลเอง”







‘ให้ตายสิ ชอบแหย่เราอยู่เรื่อย’ เฮอร์ไมโอนี่คิดในใจ แต่ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังอะไร

ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วระหว่างเขาและเธอ




มัลฟอยแกะช็อคโกแลตออก แล้วบิเข้าปากเล็กน้อย “อืมมมม...............ใช้ได้” กว่าเขาจะชมออกมาได้

ก็หลังจากที่ปล่อยให้เธอลุ้นอยู่ครู่ใหญ่ “จริงหรอ ดีจัง กินมั้งสิ ชั้นทำเองแต่ยังไม่เคยชิมเลย”




“อยากกินหรอ อืม..ได้สิ” ว่าแล้วก็บิชิ้นใหญ่ ๆ เข้าปากอีกครั้ง

ก่อมมองเฮอร์ไมโอนี่ที่ยื่นมือมาจะรับช็อคโกแลตจากมือเขา แต่เขาเบี่ยงมือหลบ

ก่อนจะเอามืออีกข้างคว้าเอวหญิงสาวเข้ามาใกล้แล้วประทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา

ถ่ายทอดความหอมหวานของช็อคโกแลต กับความหวาบหวามจากรสจูบไปยังหญิงสาว

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับการกระทำของเขา ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน

ยังดีที่มัลฟอยกอดเอวเธอไว้ไม่งั้นหญิงสาวต้องลงไปกองกับพื้นเป็นแน่

มันเป็นจูบที่อ่อนโยนที่สุดที่เธอเคยได้รับจากชายหนุ่ม หญิงสาวจึงหลับตาลงพร้อมรับจูบนั้นอย่างเต็มใจ




ทั้งคู่แลกลิ้มชิมรสของช็อคโกแลตฝีมือเฮอร์ไมโอนี่กันอยู่พักใหญ่ ผ่านไปสักครู่

มัลฟอยจึงถอนริมฝีปากออก แต่ยังคงเอาหน้าผากของเขาพิงไว้กับหน้าผากของหญิงสาว







“อร่อยมั้ยล่ะ อีกมั้ย” ชายหนุ่มไม่วายแหย่เธอ เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งหน้าแดงแปร๊ดเอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว

‘ให้ตายเถอะ ชอบแกล้งกันจังเลย’ มัลฟอยมองเธออย่างเอ็นดู ก่อนจะปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ

โชคดีที่หญิงสาวตั้งสติได้แล้ว จึงไม่ล้มลงไปกับพื้น




“ชั้นเองก็มีของให้เธอด้วย ชั้นว่ามันเข้ากับเธอนะ เรียบ ๆ แต่มีเสน่ห์”

มัลฟอยหยิบกล่องกำมะหยีสีแดงเล็ก ๆ ขึ้นมาก่อนจะมอบให้หญิงสาว เฮอร์ไมโอนี่รับมาเปิดออกดู

มันคือแหวนทองคำขาวเกลี้ยง ๆ วงหนึ่ง มันดูเรียบ ๆ อย่างที่เขาว่า แต่มันเปล่งประกายอย่างประหลาด

ข้างในแหวนสลักคำว่า soulmate




“มันมีตำนานด้วยนะแหวนวงนี้ เจ้าของร้านบอกชั้นว่า คนที่สวมมันจะถูกทดสอบความรักด้วยความรัก

ชั้นก็ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ช่างมันเถอะ ก็แค่ตำนานน่ะ” ชายหนุ่มยักไหล่

เขาไม่ได้สนใจว่าตำนานจะเป็นจริงหรือไม่




เฮอร์ไมโอนี่มองมันนิ่ง แล้วยื่นมันคืนให้กับมัลฟอย ทำเอาเขางง “เธอไม่ชอบมันหรอ

ชั้นว่ามันเหมาะกับเธอนะ หรือเธออยากได้อย่างอื่น บอกชั้นได้นะ ชั้นจะ...........”




“ชั้นชอบมันมากเดรโก ชอบจริง ๆ นะ” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าประกอบเพื่อยืนยันว่าเธอชอบมันจริง ๆ

“แต่นายจะให้ชั้นใส่เองรึไง มันจะดีกว่ามั้ย ถ้า......นายจะ....ใส่มัน....ให้ชั้น”




มัลฟอยเลิ่กคิ้ว ก่อนจะเข้าใจ เขาค่อย ๆ ยิ้มออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปรับกล่องแหวนจากเฮอร์ไมโอนี่

หยิบตัวแหวนออกมาถือไว้ แล้วคว้ามือซ้ายของหญิงสาวมาบรรจงสวมแหวนเข้าไปที่นิ้วนางอย่างแผ่วเบา

แล้วก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่แหวน เสมือนเป็นการยืนยัน

การกระทำที่เขาทำเหล่านี้อยู่นอกเหนือจากแผนการของเขาอย่างสิ้นเชิง แต่เขาไม่สนใจแล้ว

เขาแค่อยากจะทำมันเท่านั้น




“เป็นแฟนกับชั้นนะ เฮอร์ไมโอนี่” มัลฟอยทวงถามอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาสมหวัง




“อือ” คำตอบสั้น ๆ แต่ก็ทำให้เขาดีใจ มัลฟอยดึงเฮอร์ไมโอนี่มากอดอีกครั้ง

โดยมีสายตาของคนลึกลับคนนั้นมองมาอย่างจับผิด







*-*-*-*-*-*-*-*




หลังจากแยกจากเฮอร์ไมโอนี่แล้ว มัลฟอยเดินไปทางคุกใต้ดิน เพื่อจะกลับไปที่หอสลิธีรีน

แล้วเขาก็ได้ยินเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น










“ชั้นหวังว่า เธอคงยังไม่ลืมแผนการของเราหรอกนะ เดรโก” เสียงเย็นชาดังมาจากปากของผู้หญิงคนหนึ่ง

“รู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำมันออกจะเกินเลยไปหน่อยนะ รึไง”







“มันเป็นวิธีของชั้น แพนซี่ ชั้นต้องทำให้ยัยนั่นตายใจ และรักชั้นมาก ๆ

ไม่งั้นแผนของเราจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วก็เลิกตามดูชั้นได้แล้ว น่ารำคาญชะมัด”

พูดจบก็เดินเข้าหอไป







“ถ้าชั้นไม่ตามดูเธอแล้วจะรู้หรอว่าท่าทางของเธอที่มีต่อยัยนั่นมันไม่เหมือนเดิม”

แพนซี่รำพึงเสียงเรียบ “และชั้นก็เชื่อด้วยว่าเธอทำไม่ได้แน่ เดรโก ถ้าเธอไม่ทำ ชั้นจะทำเอง”

แพนซี่ทิ้งสายตาเย็นชาไปทางที่ชายหนุ่มเพื่อนร่วมบ้านเพิ่งเดินไป




*-*-*-*-*-*-*-*




ตอนที่ 5 ความจริง



















เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับหอกริฟฟินดอร์ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบไปด้วยความสุข

หลังจากบอกรหัสผ่านกับสุภาพสตรีอ้วนเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินเข้าไปในห้องโถง

และตรงไปนั่งข้างแฮรี่และรอนที่กำลังเล่นหมากรุกพ่อมดกันอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง (น่าจะเป็นรอนคนเดียว)



















“รุกฆาตแฮรี่ ชั้นชนะแล้ว นายคงต้องฝึกให้มากกว่านี้นะ” รอนเกทับแฮรี่

แล้วคว้ากบช็อคโกแลตเดิมพันของเกมนี้เข้าปากทันที เคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ทำเอาแฮรี่ส่ายหน้าปลง





















“เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ เฮอร์ไมโอนี่” รอนถามทันทีหลังจากสังเกตเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของเฮอร์ไมโอนี่

“ใครให้เธอมาหรอ” พลางเอื้อมมือมาจับมือเธอขึ้นพิจารณาพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างใกล้ชิด

เสร็จแล้วหันมาจ้องหน้าเธอเพื่อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แฮรี่เองก็มองมาด้วยความสงสัยเช่นกัน



















“เอ่อ....มีคนให้มาน่ะ”



















“ใคร” ทั้งแฮรี่และรอนถามขึ้นมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย



















“แหม..นี่นายจะไม่ให้ชั้นมีความลับบ้างรึไงกัน” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าอิดออด

ขณะที่กำลังคิดหาทางออกว่าจะบอกแฮรี่กับรอนดีหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทั้งสองคนสงสัยต่อไป

ก็พอดีกับที่รอนพูดออกมา



















“เราก็แค่อยากจะช่วยดูว่า เค้าเหมาะสมกับเธอมั้ยก็เท่านั้น

แต่ถ้าเธอหาว่าเรายุ่งวุ่นวายล่ะก็..........” รอนทำท่าน้อยอกน้อยใจมากเกินจำเป็น

ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจบอกเพื่อนรักทั้งสองว่า



















“ก็ได้ แต่นายต้องสัญญาก่อนว่า ถ้านายรู้แล้วนายจะต้องไม่โวยวาย และก้อ.....ห้ามโกรธชั้น”

เฮอร์ไมโอนี่เรียกร้องคำสัญญาก่อน เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าทั้งสองรู้แล้วปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร



















“แหม ทำอย่างกับคนให้แหวนเธอ คือมัลฟอยงั้นแหละ ถ้าพวกเรารู้แล้วต้องโกรธ”

รอนพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่หน้าเผือดสีลงถนัดตา แฮรี่ซึ่งมองทั้งสองคนอยู่เงียบ

ๆ และสังเกตเห็นสีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ จึงโพล่งถามขึ้นมาทันที



















“จริงเหรอ เฮอร์ไมโอนี่”



















“อะ...อือ” เฮอร์ไมโอนี่ทำได้แค่พยักหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับแฮรี่ รอนซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

นั่งมองคนทั้งสองอย่างงง ๆ



















“นี่ รบกวนพวกนายจะช่วยบอกชั้นสักหน่อยได้มั้ยกำลังพูดอะไรกัน เล่นรู้กันเองสองคนงี้ชั้นก็แย่ดิ”

รอนบ่นอุบพลางมองหน้าทั้งสองอย่างสงสัย

แฮรี่มองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งบัดนี้กำลังสนใจกับรายละเอียดของพรมใต้เท้ามากกว่าหน้าของเพื่อนรักและไม่ยอ

มตอบอะไร จึงเป็นคนตอบซะเอง



















“ก็เจ้าของแหวนไงรอน……” พลางเหลือบมองหน้าเฮอร์ไมโอนี่เล็กน้อยก่อนพูดต่อ “…..คือ มัลฟอย”



















“ก็แค่เนี่ย นึกว่าอะไร” รอนพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ ก่อนกระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟา

หันมาจับไหล่แฮรี่แล้วเขย่าหัวสั่นหัวคลอน ตะโกนก้องลั่นห้องโถง “อะไรนะแฮรี่ ไอ้ซีดนั่นน่ะนะ”

ทำเอาบรรดานักเรียนกริฟฟินดอร์ที่นั่งอยู่ในห้องโถงพากันสะดุ้ง หันมามองกันเป็นแถว

แฮรี่รีบฉุดเพื่อนรักของเขาลงนั่งตามเดิม แล้วหันไปยิ้มแหย ๆ ให้กับทุกคน



















“เบา ๆ ก็ได้รอน นายจะตกใจเว่อร์ไปหน่อยมั้ย”



















“มัลฟอยนะ แฮรี่ มันคือมัลฟอย คนที่ให้แหวนเฮอร์ไมโอนี่คือไอ้ซีดนั่นนะ และถ้านายลืมล่ะก็

ชั้นจะบอกให้ มันเป็นศัตรูของเรานะ” รอนย้ำแฮรี่ด้วยกลัวว่าเค้าจะลืมไปแล้วว่ามัลฟอยคือใคร



















“ชั้นรู้ว่าเค้าเป็นใคร พอ ๆ กับนายนั่นแหละ แต่นายจะไม่ลองถามเฮอร์ไมโอนี่ดูก่อนรึไงว่าอะไรเป็นอะไร”

แฮรี่ปรามรอน เพราะสังเกตว่าสีหน้าของหญิงสาวไม่สู้ดีนัก



















“ว่าไงเฮอร์ไมโอนี่” ที่นี้รอนหันมาคาดคั้นกับเฮอร์ไมโอนี่โดยตรง



















“เรา.....คือ....ชั้น....เอ่อ....เรารักกัน” พูดจบหญิงสาวก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ส่วนรอนหน้าซีดเผือด

ทำท่าจะเป็นลม



















“โอย....ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเอาเวลาที่ไหนไปรักกันโดยที่เราไม่เคยระแคะระคายเลย”

รอนทำท่าเหมือนกับว่าโลกนี้สิ้นสุดลงแล้ว “นี่เราต้องสูญเสียเพื่อนของเราให้กับไอ้บ้านั่นรึไงกัน

โอ๊ยยยยย พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมเลย” รอนแกล้งคร่ำครวญ



















“ชั้นยังไม่ตายสักหน่อย แล้วถึงชั้นจะคบกับเค้า เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแน่นอน” เฮอร์ไมโอนี่ยืนยันกับเพื่อนรักทั้งสอง



















“นี่เธอแน่ใจแล้วใช่มั้ย เฮอร์ไมโอนี่”

หลังจากปล่อยให้รอนมีบทเด่นมานานถึงเวลาที่แฮรี่จะเป็นฝ่ายถามบ้าง หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนพยักหน้า



















“งั้นก็ขอให้เธอมีความสุขนะ ดีใจด้วยจริง ๆ”

แฮรี่รู้สึกดีใจไปกับเฮอร์ไมโอนี่ด้วยที่มีคนที่เธอรักอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่ตัวเองยังไม่รู้อนาคต

“ถ้ามันทำให้เธอเสียใจนะ ชั้นจะเอาคืนให้เป็นร้อยเท่าเลย” รอนบอก

เขาเองก็กำลังทำใจยอมรับความจริงอยู่ แต่ก็มากพอสำหรับเฮอร์ไมโอนี่แล้ว



















“ขอบใจรอน แฮรี่ด้วย ขอบใจมาก” วันนี้เป็นวันที่หญิงสาวมีความสุขที่สุด เพราะเธอมีทั้งคนที่เธอรัก

และเพื่อนที่เข้าใจมาอยู่เคียงข้าง เธอไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว (ยกเว้นการอ่านหนังสือ)



















*-*-*-*-*-*-*-*



















วันคืนผ่านไปอย่างมีความสุขสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ เธอใช่เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมัลฟอย

และบางทีก็มีแฮรี่และรอนมาอยู่ด้วย ถึงมันจะสร้างความรำคาญให้กับเธออยู่บ้าง

เพราะพวกเขามักจะใช้เวลาในการเหน็บแนมกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเธอเริ่มที่จะชินแล้ว

ด้วยรู้ว่าพวกเขาไม่ได้จริงจังอะไรนัก นอกจากใช้เวลากัดกันเพื่อแก้เซ็งเท่านั้น



















“นี่ พวกนายไม่มีอะไรทำกันรึไงนะ วิสเซิล พอตตี้……..”

วันนี้ก็เช่นที่มัลฟอยกำลังหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอเฮอร์ไมโอนี่อ่านหนังสือจบ โดยการแหย่รอนกับแฮรี่

ส่วนใหญ่จะเป็นรอนมากกว่าที่ตอบโต้ “……..ถึงได้มานั่งเป็นก้างขวางคอคนอื่นเค้าแบบเนี่ย”

พอมัลฟอยพูดจบปุ๊บ รอนก็สวนขึ้นมาปั๊บ



















“เราจะทำอะไรมันก็เรื่องของเรา นายไม่เกี่ยว” รอนโต้ “ที่สำคัญเรามาหาเฮอร์ไมโอนี่

และก็ไม่สนด้วยว่านายจะอยู่หรือไม่อยู่” พลางทำหน้าตากวน ๆ ใส่



















“เชอะ....อิจฉาล่ะสิ” มัลฟอยพูดเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่รอนจะได้ยิน



















“ใครอิจฉานายไม่ทราบ” มัลฟอยจี้จุดโมโหรอนได้พอดี “ไม่มีเหตุผลที่คนอย่างชั้นต้องไปอิจฉานาย”

รอนยังคงตะโกนต่อไป หน้าเริ่มแดงด้วยโทสะที่กำลังพลุ่งพล่าน



















“ก็เพราะคนมันไม่มีแฟน พอเห็นคนอื่นเค้ามีแฟน นายก็เลยอิจฉา ต้องมานั่งกันท่าอยู่แบบเนี่ย”

มัลฟอยเห็นว่ารอนเริ่มโมโหแล้ว จึงยั่วต่อ “ก็น่าเห็นใจนะ ไม่มีใครเอา ชั้นจะพยายามเข้าใจละกัน”

พลางทำท่าทางราวนักบุญผู้ยิ่งใหญ่กำลังโปรดสัตว์ผู้ยากไร้ แต่มันทำให้รอนถึงขีดจำกัด



















“นี่มัลฟอย นายอยากมีเรื่องกับชั้นใช่มั้ย ได้เข้ามาเลย ชั้นพร้อมทุกเมื่อ เข้ามาสิวะ”

รอนตั้งการ์ด พร้อมทั้งกวักมือหยอย ๆ เรียกมัลฟอยให้เข้ามา แต่มัลฟอยใจเย็นกว่านั่งมองเฉย

จนแฮรี่ทนไม่ได้ ต้องเข้ามาลากรอนออกไป



















“ไปก่อนนะเฮอร์ไมโอนี่ แล้วเจอกัน” แล้วแฮรี่ก็ลากรอนออกไป มัลฟอยมองตามพร้อมกับหัวเราะหึหึ



















“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เดรโก นายทำไมต้องไปยั่วรอนด้วย รู้ว่าเค้าเป็นแบบนั้นยังจะทำอีก”

เฮอร์ไมโอนี่มองแฟนหนุ่มของเธออย่างปลง ๆ กับนิสัยชอบแหย่ที่นับวันจะเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนของเธอด้วย



















“ก็สนุกดีไม่ใช่หรอ เจ้าวิสลี่มันยั่วง่ายจะตายไป” ชายหนุ่มพออกพอใจกับผลงานของตัวเอง

ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ได้แต่ปลง เมื่อไหร่ที่พวกเขาจะพูดจาดี ๆ กันบ้างนะ

แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้น ถึงจะเป็นแบบแปลก ๆ ก็ตามที



















“แฮรี่ นายปล่อยชั้นนะ ชั้นจะไปจัดการไอ้บ้านั่น มันว่าชั้น นายก็ได้ยินแล้วนี่” อีกด้านหนึ่ง

รอนพยายามสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากการเหนี่ยวรั้ง แต่แฮรี่ไม่ยอมปล่อย



















“ใช่ ชั้นเห็นแล้ว เห็นว่านายยอมให้มัลฟอยชักจูงเอาไง นายก็รู้นี่ว่าเค้าต้องการแกล้งนาย

นายยังยอมให้เค้าแกล้งอีก” แฮรี่ลากรอนออกมาอีกหน่อย “แล้วนายคิดถึงเฮอร์ไมโอนี่บ้างมั้ย

เค้าจะทำตัวยังไง ที่เพื่อนกับแฟนต้องมาทะเลาะกัน” รอนจึงหยุดดิ้นพร้อมถอนหายใจออกมาแรง ๆ



















“ขอโทษทีแฮรี่ ชั้นมันแย่จริง ๆ” แฮรี่ปล่อยมือจากรอน แล้วตบบ่าเพื่อนเบา ๆ

“คนที่นายต้องขอโทษไม่ใช่ชั้น รอน” รอนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะกอดคอกันเดินไปที่หอกริฟฟินดอร์



















*-*-*-*-*-*-*-*-*-*



















ใกล้จะถึงวันสอบ ส.พ.บ.ส. เข้ามาทุกทีแล้ว

อีกไม่กี่วันเฮอร์ไมโอนี่ก็จะเรียนจบจากโรงเรียนฮอกวอตส์แห่งนี้

หญิงสาวอ่านหนังสือหมดทุกเล่มในห้องสมุดแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่คิดว่านั่นมันยังไม่เพียงพอ

เธอต้องอ่านมากขึ้นอีก เพื่ออนาคตของเธอเอง ขณะนี้หญิงสาวหอบหนังสือเต็มแขนเดินว่อนทั่วปราสาท

เพื่อมองหาแฟนหนุ่มของเธอ



















“ไปไหนของเค้านะ จะชวนมาติวหนังสือสักหน่อย” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดตลอดเวลาที่เดิน

จนกระทั่งเธอเดินมาถึงทางแยก และกำลังจะเลี้ยวไป ก็พอดีกับที่มีคน ๆ หนึ่งโผล่ออกมาขวางหน้าเธอเอาไว้






















“ไงยัยเลือดสีโคลน จะรีบร้อนไปไหนไม่ทราบ” แพนซี่ พาร์กินสันนั่นเองที่มาขวางหน้าเธอเอาไว้

พร้อมกับทำหน้ายียวน เฮอร์ไมโอนี่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงพยายามจะเดินเลี่ยงไป

แต่แพนซี่ไม่ยอมให้เฮอร์ไมโอนี่หลบไปได้ง่าย ๆ เพราะเธอยังไม่ได้พูดเรื่องที่ต้องการเลย



















“อย่าเพิ่งไป ชั้นมีเรื่องจะคุยกะเธอ”



















“เฮ้อออ...มีอะไรก็ว่ามา ชั้นไม่มีเวลาทั้งวันหรอกนะ” เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจอย่างจำใจ

แล้วจึงหันมาเผชิญหน้ากับแพนซี่ตรง ๆ



















“มันคงไม่รบกวนเวลาเธอสักเท่าไหร่หรอกนะ แล้วถ้าเธอรู้ว่าชั้นจะพูดเรื่องอะไร

เธอคงยินดีที่จะฟังละมั้ง” แพนซี่พูดอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า เฮอร์ไมโอนี่นั้นถึงแม้จะอยากรู้แค่ไหน

แต่ก็ไม่ยอมแสดงออกอะไร เพราะไม่ต้องการให้แพนซี่ข่มเธอได้

แพนซี่เมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่นิ่งไปจึงยิ้มเย้ย ๆ แล้วกล่าวต่อ



















“เป็นเรื่องของเดรโก เธอยังพอจะมีเวลาคุยกับชั้นหรือเปล่า”



















“เดรโกป็นอะไรงั้นหรอ บอกชั้นสิพาร์กินสัน บอกมา”

เฮอร์ไมโอนี่ตรงเข้าเขย่าตัวแพนซี่ทันทีด้วยความร้อนใจ เป็นห่วงคนรัก



















“อ๊ะๆๆ อย่ามาแตะต้องตัวชั้น ชั้นไม่อยากให้โคลนในตัวเธอมาถูกตัวของชั้น”

ผลักเฮอร์ไมโอนี่ออกไปโดยแรง “ถ้าเธออยากรู้ก็ตามชั้นมาสิ ชั้นมีอะไรให้เธอดู แล้วเธอจะตาสว่างซะที”

แล้วจึงเดินนำเฮอร์ไมโอนี่ออกไป

หญิงสาวลังเลใจนิดหน่อยก่อนที่จะยอมเดินตามเธอมาที่ห้องว่างห้องหนึ่ง….



















มัลฟอยกำลังเดินหาเฮอร์ไมโอนี่อยู่ เพราะเขานัดกับแฟนสาวว่าจะมาติวหนังสือกัน

แต่ตอนนี้ต้องหาเธอให้เจอก่อน ‘หรือว่าจะเป็นที่นั่น’ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบออกไปนอกปราสาททันที

ชายหนุ่มเดินไปที่ทะเลสาบ เขามองเห็นผมสีน้ำตาลกำลังปลิวไสวอยู่ข้างหน้า ‘อยู่นั่นเอง’

จึงย่องเข้าไปหาไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว แล้วโอบเธอจากทางด้านหลัง ขโมยหอมแก้มแฟนสาวหนึ่งฟอด



















“อืมมมม ชื่นใจจัง” มัลฟอยทำท่าราวกับล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์

แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับหันมามองเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม แต่เขายังไม่ทันสังเกตเห็น ยังคงบ่นต่อไป



















“นี่ ไหนบอกว่าจะมาติวหนังสือกันไง ทำไมถึงออกมานั่งคนเดียว ไอ้เราก็ตามหาไปสิ

งี้ต้องทำโทษซะดีมั้ย” ชายหนุ่มแกล้งแหย่เธอเหมือนที่เคยทำ แต่คราวนี้หญิงสาวไม่ตอบโต้

จนเขาเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ “เป็นไรหรือเปล่าเฮอร์ไมโอนี่” มัลฟอยลองถามดู

เพราะการนิ่งเงียบแบบนี้มันไม่ใช่เฮอร์ไมโอนี่คนที่เขารู้จักเลย



















“ชั้นขอถามอะไรสักอย่าง....ได้มั้ย” ชายหนุ่มสังเกตว่าแววตาของเธอวันนี้ดูไม่สดใส

แถมยังเศร้าหมองอย่างประหลาด



















“ได้สิ ถ้าชั้นตอบได้ ชั้นยินดีที่จะตอบทุกเรื่องเลย” ชายหนุ่มทำท่าขึงขังประกอบเพื่อให้เธอขำ

แต่เธอก็ไม่ขำ เขาจึงยิ้มแหย ๆ



















“นายรักชั้นรึป่าว” เป็นคำถามที่สร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มอย่างมาก

ชายหนุ่มคิดทบทวนความรู้สึกของตนเองอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มออกมา



















“รักสิ รักมากด้วย” เขาไม่ได้โกหกนะ ถึงตอนแรกที่เขามาสนิทกับเธอก็เพราะแผนการของแพนซี่

แต่ตอนนี้เขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ว่าเขารักเธอเข้าแล้ว รักทั้งหมดของหัวใจ

เฝ้าคิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออก เขาไม่สนใจแผนการอีกต่อไป

และเขาก็กำลังหาวิธีที่จะบอกเธอถึงแผนการที่เขาเคยตั้งใจที่จะทำ แต่ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันสายไปแล้ว



















“นี่ นายยังจะหลอกชั้นอีกหรอ แค่นี้มันยังทำให้ชั้นเจ็บไม่พอใช่มั้ย” น้ำตาค่อย ๆ

ไหลออกมาจากเบ้าตาคู่สวย ซึ่งบัดนี้แฝงไปด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวทุบกำปั้นลงบนอกแข็งแรงของชายหนุ่ม

เพื่อตอกช้ำให้เขารู้ว่าเธอเจ็บปวดมากแค่ไหน “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ตลอดเวลาชั้นเชื่อใจนายมาตลอด

ชั้นคิดว่านายรักชั้น ชั้นให้นายหมดหัวใจ แต่ตลอดเวลา.......นายกลับหลอกชั้น สะใจนายแล้วใช่มั้ย

สมใจแล้วสิที่ได้เห็นชั้นเป็นไอ้คนโง่ งี่เง่าคนนึงที่หลงเชื่อคำพูดของนาย

ทำไมต้องทำแบบนี้กับชั้นด้วย ชั้นไปทำอะไรให้นายเจ็บช้ำมากมายนักรึไง

นายถึงทำแบบนี้กับชั้น.......นายกับแผนการบ้า ๆ ของนาย”



















หญิงสาวไม่อาจห้ามก้อนสะอื้นที่จู่โจมขึ้นมาได้

เธอทรุดตัวลงกับพื้นไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนอยู่เพื่อรับความเจ็บปวดและปล่อยความรู้สึกทั้งหมดที่มีออกมา

ด้วยการร้องไห้ราวกับคนหัวใจสลาย แต่มันก็ไม่ต่างกับคนที่มองดูอยู่ หัวใจของเขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

ในตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องต่อว่าเขาด้วย จนประโยคสุดท้ายเขาถึงได้เข้าใจ ‘นี่เธอรู้แล้ว

เธอรู้ มันเกิดขึ้นได้ไง’



















*-*-*-*-*-*-*-*-*




ตอนที่ 6 ความจริง(ต่อ)




.....เฮอร์ไมโอนี่เดินตามแพนซี่เข้ามาที่ห้องเรียนห้องหนึ่งด้วยความระแวง แต่ความอยากรู้มีมากกว่า

ทันทีที่เข้ามาในห้อง เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบถามขึ้นทันที




“เธอมีอะไรจะให้ชั้นดู พาร์กินสัน”




“ใจเย็น ๆ สิ ขอเวลาหน่อยชั้นต้องเอามันออกมาก่อน” พูดจบแพนซี่ก็หยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ตกใจ เพราะเธอคิดว่าแพนซี่จะใช้มันกับเธอ แต่ไม่ใช่

แพนซี่เดินไปหยิบอ่างหินสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะ เสร็จแล้วจึงเอาไม้กายสิทธิ์จิ้มไปที่ขมับก่อนจะค่อย ๆ

ถอนปลายไม้ออกมา ทำให้เกิดเส้นสายใยสีเงินหลุดติดออกมากับปลายไม้ด้วย ซึ่งมันก็คือ ‘ความคิด’

ของแพนซี่นั่นเอง หลังจากดึงออกมาแล้ว แพนซี่จึงเอามันใส่ลงไปใน ‘เพนซิป’

ซึ่งก็คืออ่างหินใบนั้นนั่นเอง แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังคงไม่เข้าใจ




“เธอต้องการอะไร ชั้นไม่เข้าใจ” หลังจากมองดูการกระทำของแพนซี่อยู่พักใหญ่ จึงถามขึ้นมา

แต่แพนซี่กลับมองเธอ แล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะพูดว่า




“สิ่งที่เธอจะได้เห็นคือความคิดที่ชั้นเก็บเอาไว้ ชั้นเอามาให้เธอดู

เพื่อที่เธอจะได้เข้าใจมันด้วยตัวเอง เพราะถ้าให้ชั้นเป็นคนพูดเธอคงไม่เชื่อชั้นแน่ ๆ”

แพนซี่กล่าวก่อนที่จะเอาไม้กายสิทธิ์จิ้มลงไปในเพนซิปอีกครั้ง

ภาพความคิดจึงเริ่มปรากฏชัดเป็นเรื่องราว……




…….ภาพที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เห็น คือภาพของชายหนุ่มผิวซีด นัยย์ตาสีอ่อน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่

หรูหราภายในห้องโถงสลิธีรีน ขณะนั้นเป็นเวลาดึกสงัดแล้ว

แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนเลยสักนิด แต่กลับใช้ความคิดอย่างหนักกับอะไรสักอย่างหนึ่ง นาน

ๆ ทีก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่แล้วก็ส่ายหัว กลับไปใช้ความคิดใหม่

เป็นแบบนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินลงบันไดมา




“ทำอะไรอยู่ เดรโก ทำไมยังไม่นอนอีกล่ะ” แพนซี่ พาร์กินสัน เพื่อนร่วมบ้านและเป็นแฟนสาวของเขาถาม

พร้อมกับลงมานั่งข้าง ๆ ชายหนุ่ม ซึ่งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกทัก




“ก็กำลังคิดหาทางแกล้งไอ้พวกนั้นอยู่ไง แต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหนดี ยังนึกไม่ออก”




“แล้วนายต้องการแบบไหนล่ะ เดี๋ยวชั้นช่วยคิด” แพนซี่เสนอตัว เธออยากทำให้ชายหนุ่มพอใจ

เพราะกว่าเขาจะยอมเป็นแฟนกับเธอได้ เธอต้องตื้อเขาสุดชีวิต ถึงแม้ว่าเขาจะยอมเป็นแฟนกับเธอ

เพราะต้องการแก้เหงาเท่านั้น เธอก็ยอม ดังนั้น เธอยินดีจะทำทุกอย่างเพียงแค่เขาร้องขอเท่านั้น




“ชั้นอยากให้พวกมันรู้สึกเจ็บปวดที่สุด ยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี” ชายหนุ่มทำหน้าหมายมาด

ซึ่งแพนซี่รู้ดีว่าคงไม่มีใครขวางความตั้งใจของเขาได้อีกแล้ว เงียบกันไปทั้งคู่

เพราะต่างคนต่างก็ใช้ความคิด ในที่สุดแพนซี่ก็คิดออกแล้วว่าจะใช้วิธีไหนจัดการกับศัตรูของแฟนเธอดี




“เอางี้มั้ย เดรโก” หญิงสาวค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูด ก่อนจะบอกแผนออกมา

“ตอนนี้เจ้าพอตเตอร์มันเป็นแฟนอยู่กับยายเกรนเจอร์ใช่มั้ย....”

ดูเหมือนความสนิทสนมกันของเพื่อนรักทั้งสามจะทำให้หลาย ๆ คนเข้าใจผิด รวมทั้งคนสองคนนี้ด้วย

“ถ้าเผื่อเราให้ใครสักคนมาทำให้มันสองคนแตกกันล่ะ ว่าไง” แพนซี่ลองถามเสียงสนับสนุนจากแฟนหนุ่ม

แล้วอธิบายเพิ่มเติม เมื่อเห็นมัลฟอยยังทำหน้าไม่เข้าใจ




“ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ จะเจ็บปวดได้เท่ากับการต้องสูญเสียคนที่เรารักได้หรอกนะ

ถ้าเจ้าพอตเตอร์ต้องสูญเสียคนรักไปให้กับคนอื่น มันต้องช้ำใจตายแน่”




มัลฟอยคิดตามที่แพนซี่พูด และค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมาช้า ๆ เป็นอันว่าเขาเห็นด้วย

แต่เขายังสงสัยอะไรบางอย่าง จึงหันไปถามแฟนสาว




“แล้วใครจะมารับบทคนพรากคู่รักจากกันล่ะ แพนซี่”




“อืมมม.....แครบเป็นไง หรือกอยล์ดี” แพนซี่คิดนิดนึงก่อนจะพูดออกมา




“จะบ้าหรือไง เอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ย ให้ไอ้สองคนนั่นทำ จะทำให้แผนแตกล่ะไม่ว่า ไม่ได้

คิดใหม่เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มออกคำสั่งทันที จนแพนซี่น้อยใจเลยโพล่งขึ้นมาทันที




“งั้นนายก็รับบทนั้นไปซะเองเป็นไง” หญิงสาวประชดแฟนหนุ่มอย่างโมโห




“ว่าไงนะ” มัลฟอยตะโกนก้องห้องโถง ทำเอาแพนซี่ตกใจหลับตาปี๋ เตรียมรอรับการลงโทษจากเขา

เพราะคิดว่าทำให้เขาโกรธเข้าแล้ว แต่มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดกลัว

มัลฟอยเงียบไปอย่างคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แพนซี่ได้แต่มองอย่างสงสัย แต่ไม่กล้าถามออกมา

จึงได้แต่รอให้เขาพูดขึ้นมาเอง




“ก็ดีเหมือนกันนะ” ในที่สุด เขาก็พูดขึ้นมา เล่นเอาแพนซี่งง




“อะไรดีหรอเดรโก”




“ก็คนที่จะมารับหน้าที่ในการพรากคู่รักออกจากกันไง ชั้นหาได้แล้ว”

มัลฟอยมีท่าทางตื่นเต้นในความคิดของตนเอง




“ใคร” แพนซี่เองก็พลอยตื่นเต้นไปกับชายหนุ่มด้วย ผสมกับความอยากรู้




“ก็........ชั้นเอง” ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงตะโกนก็ดังออกมาจากปากหญิงสาว




“อะไรนะ....ไม่นะ เดรโก ชั้นไม่ยอมให้เธอลงไปเกลือกกลั้วกับพวกเลือดสีโคลนหรอกนะ ใช้คนอื่นก็ได้นี่”

แพนซี่อ้อนวอนแฟนหนุ่ม เพราะเอสังหรณ์อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร




“ไม่ได้ต้องชั้นเท่านั้น” มัลฟอยถอนหายใจแรง ๆ ทีหนึ่งเมื่อเห็นว่าแพนซี่ยังไม่ยอมเข้าใจสกเท่าไหร่

“เธอลองคิดดูนะ แพนซี่ มันจะสะใจแค่ไหน

ถ้าเจ้าพอตเตอร์ต้องสูญเสียคนที่มันรักให้กับศัตรูคู่อาฆาตอันดับหนึ่งอย่างชั้นน่ะ ฮื้อ คิดดู”

แต่แพนซี่ก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นแฟนตัวเองไปไล่ตามจีบผู้หญิงคนอื่น โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น คือ

เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์!!!




“แต่..........”




“ไม่มีแต่ แพนซี่ ชั้นตัดสินใจแล้ว ใครก็ขวางชั้นไม่ได้ ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัวล่ะก็ อยู่เฉย ๆ

ชั้นจัดการเอง” มัลฟอยขู่แฟนสาวของเขา “ชั้นง่วงแล้วไปนอนก่อนละ”




ชายหนุ่มลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป แต่ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ หันกลับมาแล้วก้มลงจูบแก้มแพนซี่เบา ๆ

อย่างรวดเร็ว “อย่ากังวลไปเลยน่า ชั้นไม่ไปหลงยายนั่นแน่นอน” แล้วเขาก็เดินขึ้นหอนอนไป

ปล่อยให้หญิงสาวนั่งจมกับความคิดตัวเองต่อไป……







ภาพจบลงที่ตรงนี้ แต่ทว่าในจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่แล้ว เหมือนมันจะไม่มีวันสิ้นสุด

มันกลับฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘มันเป็นแค่แผนการเท่านั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

มันเป็นแค่แผนการเท่านั้นจริง ๆ หรือ’ หัวใจหญิงสาวราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เธอไม่อยากจะเชื่อ

แต่มันคือความจริง ความจริงที่เธอได้เห็นด้วยตาของเธอเอง




“เขาแสดงเก่งมั้ยล่ะ เชื่อสนิทใจเลยใช่มั้ย เจ็บมั้ยล่ะ ปวดมั้ยล่ะ อย่านึกว่าเค้าจะรักเธอจริง ๆ นะ

มันก็แค่ส่วนหนึ่งของแผนการเท่านั้น เหมือนคนโง่เลยใช่มั้ย” แพนซี่หัวเราะเยาะ




“เธอมาบอกชั้นทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ชั้นถลำตัวไปให้มากกว่านี้ล่ะ

มันคงจะทำให้แผนการของเธอสมบูรณ์มากขึ้นกว่านี้แน่ ๆ”

เฮอร์ไมโอนี่พยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่มันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอไว้ แล้วถามเสียงสั่นเครือ




“ก็เพราะชั้นไม่อยากให้เดรโกของชั้น ต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านี้น่ะสิ แค่นี้เค้าก็ขยะแขยงเธอเต็มทนแล้ว

รู้ไว้ด้วย” แพนซี่รีบพูดต่อทันที “เลิกยุ่งกับเค้าได้แล้ว เค้าเป็นของชั้น จำเอาไว้”

พูดจบแพนซี่ก็เดินกระแทกตัวเฮอร์ไมโอนี่ออกไปจากห้อง ปล่อยให้หญิงสาวผมฟูตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น

สิ่งที่ได้เจอตามลำพัง




*-*-*-*-*-*-*-*




มัลฟอยถอนหายใจเบา ๆ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเมือ 5 ปีที่แล้ว เขาจำได้ไม่มีวันลืม

หลังจากวันนั้นที่เขาได้เห็นน้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มีให้กับเขา

แล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้คุยกับหญิงสาวอีกเลย เธอมักจะหลบเลี่ยงที่จะอยู่กับเขาตามลำพัง

ถึงแม้หน้าที่ประธานนักเรียนจะทำให้ต้องเจอกันบ้าง แต่หญิงสาวมักจะพาเพื่อนหรือใครสักคนมาอยู่ด้วยเสมอ

ทำให้เขาไม่สามารถคุยกับเธอได้ถนัด จนกระทั่งต่างคนต่างก็จบการศึกษากันไป

และเธอเองก็หายไปจากชีวิตเขาทันที เขาไม่มีทางรู้เลยว่าเธอไปอยู่ที่ไหน แม้จะจ้างคนออกตามหา

แต่ก็ไม่สามารถหาตัวเธอพบ ‘เธอเป็นนักมายากลรึไงกันนะ เฮอร์ไมโอนี่’ เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้

ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง




“ก๊อกๆๆๆ นายน้อยเจ้าค่ะ” เสียงไลล่า เอฟล์ประจำบ้านมัลฟอยดังขึ้นหน้าประตู

ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏกายเข้ามาในห้อง “นายน้อยให้ไลล่ามาปลุกตอนหกโมงเจ้าค่ะ

ตอนนี้หกโมงแล้วเจ้าค่ะ”




“อื้อ” มัลฟอยส่งเสียงออกมาในลำคอ พร้อมกับรับผ้าเช็ดตัวจากเอฟล์ตัวจ้อย

ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป และหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มจึงเดินลงมาที่ห้องอาหารประจำคฤหาสน์มัลฟอย

โดยมีไลล่าเอฟล์ตัวน้อยคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงเดินออกไปขึ้นรถ ใช่

รถยนต์เป็นรถสปอร์ตคันหรูสีดำสนิทเงางามโหลดต่ำ เนื่องจากเขามีธุรกิจที่ต้องทำร่วมกับพวกมักเกิ้ล

จึงจำเป็นที่เขาจะต้องใช้ชีวิตเลียนแบบพวกมักเกิ้ลในหลาย ๆ อย่าง เช่น การใช้โทรศัพท์ ขับรถ

นั่งเครื่องบิน และอะไรอีกมากมาย ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบในหลาย ๆ อย่าง

แต่บางอย่างเขาเองก็ยอมรับว่ามันก็ใช้ได้เหมือนกัน

และวันนี้ชายหนุ่มก็มีประชุมกับผู้ร่วมทำธุรกิจคนหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็น..มักเกิ้ล




หลังจากฝ่าการจราจรที่หนาแน่นในช่วงเวลาเร่งด่วนของลอนดอนมาได้ มัลฟอยก็นำรถไปจอดที่จอดรถประธานบริษัท

และใช้เวลาทั้งช่วงเช้าไปกับการประชุม โต้เถียง และเซ็นสัญญาร่วมทำธุรกิจกับมักเกิ้ลที่เขานัดเอาไว้

ส่วนช่วงบ่ายนั้นเขามีนัดให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสาวจากเดลี่ พรอเฟต เจ้าของคอลัมน์

“บุคคลผู้มีชื่อเสียงวันนี้” ที่ต้องการสัมภาษณ์เขาในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในวัยเด็ก

การประสบความสำเร็จในการทำงาน และเรื่องของหัวใจ




“เจ้านายค่ะ นักข่าวจากเดลี่พรอเฟตมาแล้วค่ะ” เสียงของเอมมี่

เลขานุการสาวของเขาดังออกมาจากเครื่องอินเตอร์คอม หนึ่งในเครื่องใช้ของมักเกิ้ลที่เขาต้องมีไว้

“ดิชั้นให้เธอเข้าไปเลยนะค่ะ” ทันทีที่สิ้นเสียงของสาวเลขานุการ ประตูห้องก็เปิดออก

พร้อมกับการย่างเท้าเข้ามาของหญิงสาวรูปร่างเพรียวบาง

เสื้อผ้าที่สวมบ่งบอกถึงความเป็นคนมีรสนิยมในการแต่งกาย และพิถีพิถันกับการใส่ใจดูแลตัวเอง

ผมดำของเธอตัดสั้นธรรมดาแต่ดูเก๋รับกับใบหน้าตอบที่แต่งแต้มด้วยสีส้มอ่อน ๆ




“คุณมัลฟอย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะค่ะ”

หญิงสาวผมดำเอ่ยขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ทันลุกขึ้นเพื่อต้อนรับการมาของเธอ “สบายดีนะค่ะ”




“ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร คุณคงจะเหมือนกัน ได้ข่าวว่าทำงานหนังสือพิมพ์ แต่ไม่คิดว่าเป็นเดลี่พรอเฟต

แถมเป็นคอลัมนิสต์ซะด้วย น่าประหลาดใจ” ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจอย่างที่พูดจริง ๆ “โอ๊ะ ผมลืมไป

เชิญนั่งก่อน คุณพาร์กินสัน”




“ขอบคุณค่ะ นึกว่าจะไม่เชิญซะแล้ว” นักข่าวสาวหรือแพนซี่ พาร์กินสัน เพื่อนร่วมบ้านสมัยเด็ก

และอดีตแฟนของชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ พร้อมสัพยอกเล็กน้อย

หลังจากวางกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ที่บรรจุปากกาขนนกและม้วนกระดาษเปล่าสำหรับจดบันทึกคำสัมภาษณ์ลงบนพื้นข้าง

ตัว “เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะค่ะ”




ทั้งคู่ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงในการสัมภาษณ์และการตอบคำถามต่าง ๆ

ที่ผู้คนน่าจะสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับตัวเดรโก มัลฟอย จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย

แพนซี่จึงเก็บปากกาขนนกและบทสัมภาษณ์ใส่ลงในกระเป๋า ก่อนจะยืดแข้งยืดขา

เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการที่ต้องจดบันทึกเป็นเวลาหลายชั่วโมง




“อื้ยยย...เมื่อยจังเลย ชั้นไม่เคยสัมภาษณ์ใครนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ให้ตายสิ ห้าปีที่ไม่เจอกัน

ชีวิตเธอมีอะไรเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้เลยหรอ เดรโก” หลังจากการสัมภาษณ์อย่างทางการจบลง

ทั้งคู่ก็เปลี่ยนมาพูดคุยกันปกติเหมือนที่เคยเป็นเมื่อก่อน




“มันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น แพนซี่ ไม่มีอะไรแตกต่าง” ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ

ถึงแม้เรื่องของเขากับเธอมันจะจบลงไปตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น

แต่ชายหนุ่มก็ยังคิดว่าเธอเป็นเพื่อนเสมอ เพื่อนที่เขาไม่คิดว่าจะมี




“ย่ะ..จะต่างก็ตรงที่ข้างตัวเธอจะพัวพันไปด้วยสาว ๆ มากหน้าหลายตาขึ้นก็เท่านั้น”

แพนซี่เหน็บชายหนุ่มเล็ก ๆ




“อ๊ะ..ช่วยไม่ได้ ก็คนมันหน้าตาดี” พร้อมกับเก๊กเต็มที่ แต่ทำเอาหญิงสาวขำน้ำหูน้ำตาไหล




“ฮ่ะ..ฮ่ะ..ฮ่า นอกจากนั้นยังหลงตัวเองด้วย นี่..ชั้นเคยรักเธอได้ไงนะ” หญิงสาวสายหน้าปลง ๆ

กับความขี้เล่นของเพื่อนเก่าที่เมื่อก่อนไม่เคยมีอยู่ในตัวของเขาเลยตอนเป็นแฟนเธอ

จนกระทั่งเขาได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป




“ใครที่อยู่ใกล้ชั้นก็ต้องหลงรักชั้นทุกคนน่ะแหละ นี่ไปหาอะไรกินกันเถอะ นาน ๆ จะได้เจอกันสักที

เธอไม่มีงานที่ไหนแล้วใช่มั้ย”




อืม จากนี้ก็ว่างแล้วล่ะ แต่มีข้อแม้นะ…” แพนซี่ทำหน้าเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ “......นายต้องเลี้ยงชั้น”




“เรื่องแค่นี้เอง เดรโก มัลฟอยซะอย่าง ไปกันเลยเถอะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นหยิบสูทมาสวม

ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ประตูก็ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากหน้าห้องตรงที่เลขานุการสาวของเขานั่งทำงานอยู่




“เข้าไม่ได้นะค่ะคุณ คุณมัลฟอยกำลังมีแขกค่ะ” เสียงของเอมมี่ดังมาจากหน้าห้อง




“ทำไมชั้นจะเข้าไม่ได้ ถ้าเค้ารู้ว่าชั้นเป็นใคร เค้าต้องยอมให้ชั้นเข้าไปแน่ ๆ หลีกไปนะ”

เสียงของสาวลึกลับดังขึ้นพร้อม ๆ กับประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว สาวปริศนารีบแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง

และตรงไปสวมกอดชายหนุ่มที่ยืนอึ้ง มีท่าทางหงุดหงิดขึ้นมาทันใด

พร้อมกับจีบปากจีบคอต่อว่าชายหนุ่มอย่างมีจริต




“เดรโกขา ทำไมหมู่นี้ไม่มาหาลินซี่บ้างเลย รู้มั้ยว่าลินซี่เหง๊า..เหงา”

คลายอ้อมกอดและสบตาชายหนุ่มหยาดเยิ้ม แต่ทำเอาทั้งแพนซี่และเอมมี่ถึงกับขนลุก




“เจ้านายค่ะ ดิชั้นห้ามแล้วแต่เขาไม่ฟังเลยค่ะ” เอมมี่รีบรายงานด้วยเห็นท่าทางของผู้เป็นนายแล้ว

เริ่มเห็นลางมรณะของผู้หญิงคนนี้ขึ้นมารำไร เลยกลัวติดร่างมรณะไปด้วย




“ไม่เป็นไรเอมมี่ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” มัลฟอยพยักหน้าเข้าใจ

ทำให้เอมมี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม้ต้องโดนลงโทษ ก่อนหายออกไปจากห้องปล่อยให้เจ้านายจัดการต่อไป




“ก็ลินซี่คิดถึงคุณนี่ค่ะ คุณเล่นหายไปเกือบเดือนแล้วนะ อ๋อ เพราะนังคนนี้ใช่มั้ย

ทำให้คุณไม่มาหาลินซี่ อย่าอยู่เลยแก๊” หญิงสาวหันมาเห็นแพนซี่พอดี

จึงตรงรี่เข้ามาหมายจะทำร้ายร่างกายแพนซี่ที่ยืนมองด้วยความงงงวย

แต่มัลฟอยฉุดข้อมือหญิงสาวได้ก่อนและกระชากกลับมาเหวี่ยงไปที่โซฟาริมห้อง




“อย่ายุ่งกับเขา แล้วก็เลิกยุ่งกับชั้นได้แล้ว เธอให้ความสุขชั้น ชั้นให้ความสุขเธอ

แค่นี้ก็พอแล้วนี่ ต้องการอะไรอีก ไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าชั้นไม่เตือน”

ชายหนุ่มขู่ก่อนจะแตะข้อศอกของแพนซี่เพื่อจะเดินออกไป




“ไม่ได้นะ ชั้นไม่ยอมให้ทิ้งชั้นง่าย ๆ หรอก ม่ายยยย.......” ลินซี่ตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากโซฟา

ก่อนจะตรงรี่เข้ามาหาคนทั้งคู่ แต่มัลฟอยซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เพราะเจอเหตุการณ์อย่างนี้บ่อย ๆ

หันกลับมาก่อนจะชี้ไม้กายสิทธิ์มาที่หญิงสาว




“สตูเปฟาย” ทันทีที่ลำแสงพุ่งออกจากไม้กายสิทธิ์ไปกระทบตัวลินซี่

หญิงสาวถึงกับกระเด็นไปกระแทกกับฝนังแล้วสลบไปทันที




“ไปกันเถอะแพนซี่ เดี๋ยวร้านอาหารที่ชั้นจะพาเธอไป จะเต็มซะก่อน”

ชายหนุ่มไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของเพื่อนสาว พาเธอเดินออกมาหาเอมมี่ แล้วสั่งเธอง่าย ๆ

คล้ายกับเป็นสิ่งที่เธอต้องทำเป็นประจำ “เอมมี่ จัดการให้ที ขอบใจ”




“ค่ะ เจ้านาย ทันทีค่ะ” พูดจบเลขานุการสาวก็เดินเข้าไปในห้อง

ส่วนมัลฟอยก็พาแพนซี่ที่ยังงงไม่หายกับเหตุการณ์ระทึกมาขึ้นรถสปอร์ตสีดำของเขา




“เธอให้เอมมี่ทำอะไรเหรอ แล้วเธอไม่กลัวเค้าจะเปิดโปงว่าเธอเป็นพ่อมดรึไง เดรโก”

แพนซี่ขืนตัวไว้ไม่ยอมขึ้นรถที่ชายหนุ่มเปิดประตูให้ และจ้องหน้ารอคำตอบจนมัลฟอยต้องยอมบอก




“เธออยากรู้ใช่มั้ยว่าเอมมี่จะจัดการยังไง ลินซี่ต้องปรับความทรงจำนิดหน่อย

นั่นคือสิ่งที่เอมมี่ต้องทำ”




“นี่เธอหมายความว่า เอมมี่เป็นแม่มดงั้นหรอ ไหนที่เธอให้สัมภาษณ์ชั้นมะกี้

เธอบอกว่าพนักงานในบริษัทเธอทุกคนเป็นมักเกิ้ลไงล่ะ” แพนซี่ประหลาดใจหนักขึ้นไปอีก







“ก็มีแค่ชั้นกับเอมมี่เท่านั้นที่เป็นคน ‘พิเศษ’ น่ะ เธอก็รู้นี่ เลขาต้องรู้งานรู้หน้าที่

คงไม่ค่อยสะดวกนักถ้าจะให้พวกไม่รู้อะไรเลยมาเป็นคนจัดการทุกอย่าง อ่อ จริง ๆ มีอีกคนที่เป็นคน

‘พิเศษ’ เหมือนเรา เขาเป็นที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์กับมักเกิ้ลน่ะ ฟัดจ์ส่งมาให้ดูแลบริษัทโดยเฉพาะ

เพราะไม่อยากให้เรื่องโลกของเราเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แต่เห็นว่าเขากำลังถูกย้ายไปอเมริกา

ไม่รู้ว่าฟัดจ์จะส่งใครมาให้ใหม่ แต่ช่างเถอะ เธอขึ้นรถได้แล้ว แพนซี่”




ชายหนุ่มดันตัวแพนซี่ให้เข้าไปนั่งในรถได้สำเร็จ โดยไม่สนใจท่าทางตื่น ๆ ของหญิงสาว

ด้วยไม่ชินกับการเดินทางแบบมักเกิ้ลเท่าไหร่ แต่ก่อนที่มัลฟอยจะได้สตาร์ทรถ

แพนซี่ก็เอื้อมมือมาแตะหลังมือชายหนุ่มเบา ๆ พร้อมกับจ้องหน้าอดีตแฟนอย่างพินิจพิเคราะห์




“เธอโอเคนะ” แพนซี่ถามออกมาเบา ๆ




“เรื่องอะไรล่ะ” มัลฟอยไม่เข้าใจคำถามที่แพนซี่ถามเขาสักเท่าไหร่




“ก็ที่เธอต้องมีผู้หญิงมากมายขนาดนี้ ทั้งลินซี่ คนเมื่อกี้ แล้วยังมีใครอีกนะ ที่ชั้นรู้มาก็ จีน

คริสทีน และใครอีกไม่รู้ จนต้องมาวุ่นวายให้เอมมี่คอยแก้ปัญหาให้แบบนี้ เป็นเพราะเธอยังไม่ลืม ‘เขา’

ใช่มั้ย” แพนซี่ได้เห็นความหวั่นไหววูบขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

“ชั้นขอโทษนะที่ทำให้นายเป็นแบบนี้”




“ช่างมันเถอะ แพนซี่ ชั้นเองก็มีส่วนผิดเหมือนกัน เพราะชั้นล้อเล่นกับความรัก

ชั้นถึงต้องถูกลงโทษให้ทรมาณแบบนี้” ชายหนุ่มยิ้มเศร้า ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะสตาร์ทรถ

แล้วขับออกไปโดยมีแพนซี่มองอย่างคนสำนึกผิด




*-*-*-*-*-*-*-*-*

ตอนที่ 7 คู่กัด




ชายหนุ่มขับรถมาจอดที่หน้าร้านหม้อใหญ่รั่ว ก่อนจะเดินนำหญิงสาวเข้าไปในร้านและตรงไปที่ประตูหลัง

ที่เป็นทางเข้าไปสู่ตรอกไดแอกอน

ชายหนุ่มเคาะไม้กายสิทธิ์ลงไปที่ผนังจนกระทั่งก้อนหินขยับกลายเป็นซุ้มประตูขนาดย่อม ๆ

และเบื้องหน้าเป็นตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย

ผู้คนสวมเสื้อคลุมเดินเบียดเสียดกันเพื่อซื้อของ

ไม่ว่าวันไหนตรอกไดแอกอนไม่เคยว่างเว้นจากผู้คนเลยสักวันเดียว มัลฟอยเดินนำแพนซี่ไปตามตรอกเล็ก ๆ นี้

จนกระทั่งเกือบจะสุดตรอกจึงได้เจอเข้ากับร้านอาหารขนาดย่อม ๆ เป็นตึกค่อนข้างใหม่

เหมือนเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน บรรยากาศภายนอกร้านเป็นคล้าย ๆ

บ้านขนมปังในนิทานเรื่องเกรเทลกับเฮนเดล (สองพี่น้องที่หลงเข้าไปในป่าแล้วเจอเข้ากับบ้านขนมปัง

ซึ่งเป็นบ้านของแม่มด ประมาณนั้น) ซึ่งดูแล้วอบอุ่น น่าหลงใหล ส่วนบรรยากาศภายในนั้น

เมื่อเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่สะดุดตาคือ เตาผิงขาดใหญ่สีครีม

ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงข้ามกับประตูพอดี แสงไฟจากเตาผิงช่วยขับกล่อมให้ร้านสีขาวน่ารัก ๆ

แสนโรแมนติกแห่งนี้ดูนุ่มนวลยิ่งขึ้น แพนซี่หลงรักร้านนี้ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามา

หญิงสาวแทบจะหอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาอยู่เลย ถ้าทำได้




“เดรโก ชั้นไม่เคยรู้เลยว่ามีร้านแบบนี้อยู่ที่นี่” แพนซี่ยังไม่หายตะลึงกับบรรยากาศรอบตัว

เธอรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่กับความฝันในวัยเยาว์ที่ลืมทิ้งเอาไว้เมื่อเติบโตขึ้น

“เธอรู้จักมันได้ยังไงน่ะ”




“ก็ไม่แปลกที่จะรู้จัก แค่เธอต้องรู้จักเจ้าของซะก่อน ก็แค่นั้นเอง”

ชายหนุ่มเดินไปนั่งยังที่นั่งประจำที่เขามักจะนั่งเมื่อมาที่ร้านแห่งนี้

โดยมีแพนซี่ตามมานั่งฝั่งตรงกันข้าม พร้อมชะโงกตัวข้ามโต๊ะมายังชายหนุ่ม




“นี่เธอรู้จักเจ้าของร้านนี้ด้วยหรอ เค้าเป็นคนยังไง ถ้าชั้นอยากจะขอสัมภาษณ์เขามาลงคอลัมน์ของชั้น

เธอว่าเค้าจะยอมมั้ย แล้ว...” ถ้าชายหนุ่มไม่ยกมือขึ้นซะก่อน หญิงสาวคงจะถามไม่ยอมหยุดแน่ ๆ




“เอาไว้เธอเจอเค้าเองแล้วกัน ไม่แน่ว่าเธอยังอยากจะสัมภาษณ์เค้าอยู่รึเปล่านะ แต่ตอนนี้สั่งอาหารเถอะ

ชั้นหิวแล้ว” ถึงแม้แพนซี่จะสงสัยในคำพูดของมัลฟอยเป็นอย่างมาก แต่เธอก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้

หลังจากที่ทั้งสองสั่งอาหารเสร็จแล้ว ก่อนที่บริกรหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มจะเดินจากไป

มัลฟอยได้เรียกเขาเอาไว้




“เอ่ยนี่ ช่วยไปบอกเจ้าของร้านด้วยว่าชั้นมา ให้เขาออกมาพบชั้นด้วย” มัลฟอยสั่งอย่างคนคุ้นเคย

ซึ่งบริกรหนุ่มเองก็ชินกับคำสั่งแบบนี้อยู่แล้ว เพราะมัลฟอยเป็นแขกประจำ

และสนิทกับเจ้าของร้านนี้เป็นอย่างดี




“ได้ครับผม คุณมัลฟอย” แล้วบริกรหนุ่มก็หายไปทางหลังร้าน เพื่อส่งเมนูต่อให้กับพ่อครัวทำอาหารต่อไป




“นี่ เธอมาบ่อยขนาดที่บ๋อยจำหน้าได้เลยหรอ” หญิงสาวทำท่าทึ้ง ๆ ซึ่งมัลฟอยเอาแต่ยิ้มไม่ตอบอะไร

ผ่านไปสักครู่ บริกรจึงเดินกลับมาพร้อมกับอาหารที่ทั้งคู่สั่งเอาไว้

หลังจากเสิร์ฟอาหารตรงหน้าทั้งสองแล้ว บริกรจึงบอกข้อความที่เจ้าของร้านฝากมาให้กับมัลฟอย




“เอ่อ คุณมัลฟอยครับ นายฝากมาบอกว่า....” บริกรหยุดนิดนึง ก่อนกระแอมเบา ๆ แล้วเริ่มต้นตะโกน

“......อะแฮ่มๆ ‘เชิญนายรอไปก่อนเลย ตอนนี้ชั้นไม่ว่างมานั่งคุยเล่นกันนายหรอกเฟ้ย งานล้นครัว

ถ้าอยากเจอก็ต้องรอ เข้าใจมั้ยฟ่ะ’ ครับผม” บริกรพูดจบก็รีบเดินหนีไปทันที

ปล่อยให้มัลฟอยและทุกคนในร้านมองอย่างตะลึงปนขำ ส่วนแพนซี่ออกอาการเหวอ

และเริ่มกลัวว่ามัลฟอยจะอาละวาดที่บังอาจมาสั่งคนอย่างเดรโก มัลฟอย แต่ผิดถนัด ชายหนุ่มแค่ส่ายหน้า

และหัวเราะเบา ๆ และเริ่มตักอาหารเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ จนแพนซี่อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกมา




“นี่มันอะไรกัน ใครกันเจ้าของร้าน แล้วเธอไม่โกรธหรอที่เข้ามาสั่งให้เธอรอแบบนี้”




“เดี๋ยวเธอก็รู้เองล่ะน่า รีบกินเถอะ เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”

แล้วชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อย จนทำให้แพนซี่สงสัยว่ามันอร่อยขนาดไหนกัน

ถึงได้ตั้งอกตั้งใจกินแบบนี้ จึงตักเข้าปาก เพียงคำแรกหญิงสาวก็ตกหลุมรักอาหารตรงหน้าทันที

เธอไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยเท่าที่นี่มาก่อน เธอไม่แปลกใจแล้วที่ได้เห็นมัลฟอยทำท่ามีความสุขขนาดนั้น

และมันทำให้เธอตัดสินใจว่าจะต้องขอสัมภาษณ์เจ้าของร้านอาหารนี้มาลงคอลัมน์ของเธอให้ได้




“ชั้นอยากจะเจอเจ้าของร้านเร็ว ๆ ซะแล้วสิ อยากรู้ว่าเขาได้พ่อครัวมีฝีมือมาจากที่ไหนกัน”

แพนซี่เอ่อยขึ้นมาระหว่างกำลังละเลียดกับอาหารตรงหน้าอย่างช้า ๆ




“จะจากที่ไหนล่ะ อาหารทุกจานเจ้าของร้านลงมือทำด้วยตัวเองเชียวนะ มันบอกว่า

‘ผู้คนอุตส่าห์มากินอาหารที่ร้าน ก็เพราะเชื่อใจว่าที่นี่มีอาหารอร่อย คุณภาพดี ถ้าไม่ทำด้วยตัวเอง

ก็เหมือนไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้าที่เค้าตั้งใจมากิน’ มันว่างั้น” มัลฟอยยักไหล่




สักครู่บริกรคนเดิมจึงเดินกลับมา พร้อมกับข้อความอีกข้อความจาก ‘นาย’




“คุณมัลฟอยครับ นายบอกว่าตอนนี้ว่างแล้วครับ ขอล้างมือสักครู่แล้วจะออกมาพบครับ”

เมื่อเห็นมัลฟอยพยักหน้ารับแล้วจึงเดินกลับไป




“เดี๋ยวเธอก็ได้เจอเจ้าของร้านแล้ว แพนซี่ จะขอจองตัวสัมภาษณ์ก็ทำซะเลยนะ”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างตื่นเต้น โดยไม่เฉลียวใจกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัลฟอยสักนิด




“ไง มัลฟอย วันนี้มาถึงนี่ได้นะ” เสียงห้าวดังขึ้นด้านหลังของแพนซี่

ซึ่งหญิงสาวฟังแล้วคุ้นเคยอย่างประหลาด ‘เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ’ แต่หญิงสาวยังไม่หันไป

เพราะมัวแต่คิด จนกระทั่งได้ยินเสียงห้าว ๆ นั้นดังขึ้นอีกครั้ง




“นี่ นายพาผู้หญิงคนใหม่มาถึงนี่เลยหรือ มันจะเกินไปแล้วนะ

ไหนนายบอกว่า......ชั้นถึงได้ยอมช่วยนาย...........นายนี่มัน.........”




“พอ หยุดเลย” ถ้ามัลฟอยไม่ยกมือขึ้นมาห้าม ชายเจ้าของร้านคงจะบ่นอีกยาว ตามประสาคนปากมาก

“นี่เพื่อนเก่าของชั้นเอง พอดีเจอกัน หลังจากไม่เจอกันนาน เลยพามากินอาหารฝืมือนายที่นี่

ก็แค่นั้น”




พอมัลฟอยพูดจบ แพนซี่จึงลุกขึ้นและหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของร้าน ก้มหัวนิดนึง ยื่นมือไปโดยสัญชาติญาณ

ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า




“ดิชั้น แพนซี่ พาร์กินสันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”




เจ้าของร้านยื่มมือมาจับหมับเข้าให้กับมือของหญิงสาว เขย่าเบา ๆ แต่ไม่ยอมปล่อย

พร้อมกับพูดออกมาเบาพอให้ได้ยินกันสองคน




“ยินดีจริง ๆ หรอที่ได้รู้จักผมน่ะ คุณพาร์กินสัน”




หญิงสาวจึงเงยหน้าไปมองผู้ที่จับมือเธอไม่ปล่อยสักที สิ่งที่เธอเห็นคือ

ผู้ชายรูปร่างสูงล่ำอย่างคนเล่นกีฬา ผมสีแดงเพลิงที่ยาวประบ่า แต่ตอนนี้ถูกรวบไว้ด้านหลัง

ใบหน้าตกกระเกรียมแดดอย่างคนที่ท่องเที่ยวบ่อย และรอยยิ้มที่แพนซี่ดูแล้วกวนอารมณ์เธอเป็นที่สุด เขา

คือ โรนัลด์ วิสลี่




“วิสลี่ นี่นายเองหรอ” อารามตกใจทำให้หญิงสาวลืมสังเกตไปว่ามือของเธอยังอยู่ในมือแข็งแรงของชายหนุ่ม

ซึ่งก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน ซ้ำยังกระชับแน่นเข้าไปอีก “นายเป็นเจ้าของร้านนี้....”

รอนก้มหัวนิดนึงเป็นเชิงยอมรับ ในขณะรอยยิ้มยังระบายอยู่เต็มหน้า หญิงสาวอ้าปากค้าง ‘อะไรกัน

ทำไมร้านน่ารัก ๆ แบบนี้ถึงได้เป็นของหมอนี่ไปได้ แล้วมัลฟอย......’ ทันทีที่คิดถึงมัลฟอย

หญิงสาวรีบหันกลับไปมองก็เห็นว่า ชายหนุ่มเหยียดขานั่งมองสองหนุ่มสาวเงียบ ๆ ยิ้มนิด ๆ

และกำลังสนุกสนานกับเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มที่




“เดรโก หมายความว่าไง” แพนซี่หันมาเอาเรื่องกับเพื่อนเก่าแทนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

โดญลืมเรื่องมือไปซะสนิท




“ก็ไม่เห็นจะมีความหมายอะไรพิเศษนี่ ก็ชั้นอยากกินข้าว เธอเองก็เหมือนกัน

แล้วชั้นก็เห็นว่าร้านนี้อาหารอร่อยเลยพามา เธอเองมะกี้ก็ว่าอร่อยไม่ใช่รึไง”

คำพูดของมัลฟอยทำเอาหญิงสาวหน้าแดงด้วยความอาย เธอรู้สึกเหมือนเป็นตัวตลกให้ผู้ชายสองคนหัวเราะเยาะเอา




“ก็.....ก็งั้น ๆ แหละ ไม่เห็นจะต่างจากที่อื่นเลย” หญิงสาวเลือกที่จะพูดโกหกเพื่อกลบความอาย




“จริงหรอครับ พาร์กินสัน แต่เท่าที่ผมดูเนี่ย คุณทานเกือบหมดเลยนะ ถ้าไม่อร่อยคุณคงไม่ทานหรอก

ใช่มั้ย มัลฟอย” รอนหันไปขอเสียงสนับสนุนจากชายหนุ่มอีกคน ทำเอาแพนซี่มองอย่างโกรธ ๆ

ที่มัลฟอยร่วมมือกับรอนแกล้งเธอ หญิงสาวจึงหันรีหันขวางเหมือนกับกำลังตัดสินใจหาทางออกให้ตัวเอง

และเพิ่งรู้สึกตัวว่ารอนยังไม่ได้ปล่อยมือของเธอ หญิงสาวพยายามดึงมืออกจากการเกาะกุม

แต่รอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างงั้น แถมยังหันไปยิ้มให้กับมัลฟอยซะด้วย

ทำเอาหญิงสาวโมโหจนหน้าแดง




“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ วิสลี่ กล้าดียังไงมาจับมือชั้น ปล่อยเซ่”

หญิงสาวใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะสะบัดหลุดจากการจับกุมของชายหนุ่ม ที่บัดนี้ไปยืนข้าง ๆ มัลฟอย

และอมยิ้มมองเธอ “เดรโก ชั้นโกรธนายแล้ว บ้าที่สุดเลย” คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปจากร้านทันที

ส่วนมัลฟอยได้แต่หันมาสบตากับเจ้าของร้าน แล้วส่ายหน้าอย่างขำ ๆ

กับคู่กัดคู่นี้ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังไม่ยอมพูดดี ๆ กันสักที




“ไม่ตามไปล่ะ มัลฟอย เดี๋ยวเค้าก็โกรธเอาจริง ๆ หรอก” รอนเดินมานั่งแทนที่หญิงสาว




“ช่างเถอะ เดี๋ยวก็หาย แล้วเค้าคงจะโกรธนายมากกว่าชั้นล่ะมั้ง” มัลฟอยไม่สนใจอย่างที่พูด

วันนี้เขามาที่นี่เพราะต้องการรู้เรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุด เรื่องของ ‘เขา’

คนนั้นที่ทำให้ชายหนุ่มอย่างเดรโก มัลฟอย ถึงได้มาสนิทสนมกับศัตรูอย่าง โรนัลด์ วิสลี่ แล้วยังแฮรี่

พอตเตอร์อีก เรื่องมันเริ่มมาจาก…………..




………นี่ก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สี่หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนเวทมนตร์ฮอกวอตส์ที่ชายหนุ่มเจ้าของนัยย์

ตาสีซีดไม่ได้รับข่าวคราวจากหญิงสาวผู้เป็นที่รัก

เนื่องจากเธอหลบหน้าเขาทันทีที่จบการศึกษาโดยการย้ายตัวเองและครอบครัวไปอยู่ที่อันห่างไกล

เขาไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน เขาพยายามหาเธอในทุก ๆ แห่งที่คนอย่างเธอน่าจะไป งานทุก ๆ

ที่ที่คาดว่าเธอจะทำ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา จนในที่สุด

เขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกเป็นอย่างมาก นั่นคือ การขอความช่วยเหลือจากแฮรี่ และรอน

เพื่อนรักของเธอ อย่างน้อยทั้งสองคนคงจะรู้อะไรบ้าง




มัลฟอยขี่ไม้กวาดมาหาทั้งสองคนที่บ้านโพรงกระต่ายแต่เช้ามืด

ที่ต้องขี่ไม้กวาดก็เพราะชายหนุ่มอยากจะใช้เวลาระหว่างเดินทางในการตัดสินใจว่าจะขอรับความช่วยเหลือจากคน

ทั้งสองดีไหม เพื่อว่าจะได้หันหลังกลับได้ทันก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไป

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หันหลังกลับแต่อย่างใด ยังคงมุ่งหน้าต่อไป จนกระทั่งเห็นหลังคาโย้เย้อยู่ข้างหน้า

‘เชอะ’ เพียงแค่เห็นหลังคา ชายหนุ่มก็นึกดูถูกความซอมซ่อของครอบครัววิสลี่ อยากจะกลับแต่ทำไม่ได้

ในเมื่อหัวใจที่เหลืออยู่มันเรียกร้องให้ตามหัวใจอีกครึ่งกลับมา ทันทีที่เท้าสัมผัสกับสนามหญ้าหน้าบ้าน

ประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับที่หญิงสาวหน้าตาน่ารัก ผมแดงแต่ยาวสลวยที่ถูกรวบเป็นมวยเก๋เดินออกมา

หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ที่เห็นคนที่ไม่คิดว่าจะเห็นมาปรากฏอยู่ตรงหน้า

ทั้งสองมองหน้ากันสักพักก่อนที่ฝ่ายชายจะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา




“เธอมาทำอะไรที่นี่ วิสลี่น้อย”




“อ้าว นี่บ้านชั้น ทำไมจะมาไม่ได้ล่ะ มัลฟอย” จินนี่ตอบกลับอย่างฉุน ๆ แม้แต่ที่บ้านเธอเอง

มัลฟอยยังมาทำเป็นวางอำนาจอีก




“ชั้นไม่ได้หมายความอย่างนั้น เวลานี้เธอควรต้องอยู่ที่โรงเรียนสิ แล้วทำไม........” มัลฟอยสงสัย

เพราะว่าจินนี่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 7 ของฮอกวอตส์ แล้วนี่ก็เปิดเทอมมาสี่เดือนแล้ว

ทำไมเธอไม่ไปโรงเรียน




“ดูท่านายจะลืมนะ ชั้นจะบอกให้ก็ได้ วันนี้มันวันคริสมาสต์

ไม่มีที่ไหนเขาสอนให้นายไปนั่งเรียนหรอกย่ะ รู้ไว้ด้วย” ชายหนุ่มลืมไปซะสนิทว่าวันนี้เป็นวันคริสมาสต์

จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้สนใจด้วยว่าเวลาจะผ่านไปอย่างไร เพราะเมื่อไม่มีเฮอร์ไมโอนี่อยู่ข้าง ๆ

เวลาของเขาก็เหมือนจะหยุดหมุน




จินนี่เองก็สงสัยบางอย่าง จึงถามออกไปบ้าง “สำหรับชั้นมันไม่แปลกหรอกที่มาอยู่ที่นี่

แต่สำหรับนายมันแปลกมากเลย นายมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ หรือว่าพอเรียนจบแล้วไม่มีใครทะเลาะด้วย

เลยตามมาหาเรื่องกันถึงที่นี่”




“ชั้นไม่บ้าพอที่จะมาหาเรื่องในถิ่นของพวกเธอหรอกนะ ชั้นแค่.......” มัลฟอยอึกอัก

และในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา “........อยากให้พอตเตอร์กับวิสลี่...เอ่อ...ช่วยหน่อย”

คำสุดท้ายแทบจะเป็นเสียงกระซิบ แต่มันดังพอที่จะทำให้หญิงสาวตรงหน้าตกตะลึงได้




“หา อะไรนะ เอ่อ....เข้ามาก่อนมั้ย” อะไรบางอย่างในตัวชายหนุ่มทำให้จินนี่สงสาร

แม้จะรู้ว่าพี่ชายเธอจะโวยวายแค่ไหน ถ้ารู้ว่าเธอยอมให้มัลฟอยเข้ามาในบ้าน แต่หญิงสาวก็ยอม

“ถ้าเธอไม่รังเกียจนักละก็” มัลฟอยไม่พูดอะไร และยอมเดินตามวิสลี่น้อยเข้าบ้านอย่างเงียบ ๆ

เวลานี้เขายอมทำทุกอย่าง ทุกอย่างจริง ๆ




“นั่งแถวนี้ก่อนล่ะกัน ยังไม่มีใครตื่นหรอก รอได้มั้ย ถึงรอไม่ได้ก็ต้องรอ” ถามเองตอบเองเรียบร้อย

หญิงสาวจึงหายเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมเครื่องดื่มให้ผู้มาเยือน มัลฟอยมองไปรอบ ๆ ห้อง

เทียบไม่ได้เลยกับคฤหาสน์ใหญ่โต หรูหราของตระกูลมัลฟอย แต่เมื่อย่างเท้าเข้ามาก้าวแรก อบอุ่นเหลือเกิน

ช่างต่างกับความรู้สึกเมื่อเดินอยู่ในบ้านของตัวเอง ระหว่างที่สายตากำลังสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง

หูก็แว่วเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังลงมาจากบันไดเบี้ยว ๆ นั้น พร้อมกับเสียงที่ดังมาก่อนจะทันได้เห็นตัว




“จินนี่ เธอเห็นไอ้จะ...........” หน้าตาเพิ่งตื่นนอนของรอนเต็มไปด้วยความตกใจสุดขีด

ราวกับเห็นแมงมุมนับร้อยนับพันตัวมาเล่นสไลเดอร์กันอยู่บนตัวของเขา

ส่วนมัลฟอยเมื่อได้เห็นหน้าตาตกใจของรอนแล้วอดที่จะขำไม่ได้




“ขำอะไรมัลฟอย แล้วนายมาทำอะไรที่บ้านคนอื่นเค้า หา” รอนตะคอกใส่เสียงดัง

จนทำให้จินนี่ที่เดินออกมาจากในครัวพร้อมถาดเครื่องดื่มต้องดุพี่ชาย




“เบา ๆ สิ พี่รอน เดี๋ยวบ้านก็พังหรอก ทานน้ำก่อนละกันนะ”




“จินนี่ เธอเอาน้ำให้มันกินทำไม เสียดายของเปล่า ๆ แล้วอีกอย่างคนอย่างมันไม่ยอมกินน้ำของบ้านเราแน่”

แต่โดยไม่มีใครคาดคิด มัลฟอยยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว จนหระทั่งหมดแก้ว

ท่ามกลางความแปลกใจของรอนเป็นอย่างมาก “นะ...นาย....”




“มีอะไรกันรอน จินนี่” เสียงแฮรี่ดังมาจากบันได “เสียงดังไปถึงข้างบน

แม่นายบอกว่าถ้านายยังไม่เงียบอีกล่ะก็จะสาปให้นายเป็นลูกหมูน้อย ๆ ที่น่ารักซะเลย”

เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น หันไปพูดแหย่กับรอน ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจินนี่ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงเล็กน้อย

แล้วแฮรี่ก็เงียบไปเมื่อมองเห็นว่าในนี้ไม่ได้มีเฉพาะรอนกับจินนี่เท่านั้น




“มัลฟอย”




“ไง พอตเตอร์ไม่เจอกันตั้งนาน” ผู้มาเยือนทักทายผู้มาใหม่อย่างสบาย ๆ อย่างน้อยในเวลาที่ทุกข์ใจ

พอได้มาเจอกับศัตรูเก่า ทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างประหลาด

“นายมาทำอะไร มัลฟอย” แฮรีไม่เสียเวลาทักทาย ด้วยรู้นิสัยกันเป็นอย่างดี




“แหม ๆ จะไม่ทักทายกันสักหน่อยรึไง พอตเตอร์” ชายหนุ่มพยายามยืดเวลาออกไป

ด้วยยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี




“ถ้านายไม่มีอะไร ก็ไปซะ” แฮรี่เดินมายืนข้างจินนี่เพื่อปกป้อง

มัลฟอยจึงยอมบอกจุดประสงค์ที่เขาต้องมาในวันนี้




“ชั้น......ชั้นมาเรื่องเฮอร์ไมโอนี่” ทันทีที่มัลฟอยพูดจบ รอนก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มทันที

โชคดีที่แฮรี่อยู่ใกล้พอที่จะคว้าเอาไว้ได้ทัน




“แก...แกไม่มีสิทธิ์มาเรียกเฮอร์ไมโอนี่ว่าเฮอร์ไมโอนี่น่ะ แกยังทำเขาเจ็บไม่พอรึไง

จะมาหลอกอะไรเขาอีก ชั้นไม่ยอมให้แกทำร้ายเพื่อนชั้นอีกแล้ว ปล่อยสิ แฮรี่ ชั้นจะฆ่ามัน

ปล่อยโว้ยยยย” รอนพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการกอดรัดของแฮรี่

ในขณะที่แฮรี่เองก็หันไปพูดกับมัลฟอยทั้งที่ยังรัดรอนไว้แน่น




“นายกลับไปเถอะ มัลฟอย เราไม่มีอะไรจะบอกนายหรอก ก่อนที่ชั้นจะปล่อยให้รอนทำร้ายนาย”

แฮรี่เองก็โกรธเหมือนกัน แต่เขาสามารถระงับมันไว้ได้ จินนี่รีบสนับสนุนความคิดของแฮรี่ทันที




“กลับไปก่อนเถอะ ไว้รอให้พี่รอนอารมณ์เย็นกว่านี้ค่อยกลับมาใหม่นะ ขอร้องล่ะ”

ตอนแรกมัลฟอยตั้งใจจะดึงดันอยู่ต่อ แต่พอเห็นแววตาร้อนใจของจินนี่แล้ว จึงตัดสินใจหันหลังกลับ

แต่ก่อนที่จะเดินออกจากประตูไป มัลฟอยหันกลับมาแล้วเอ่ยขึ้น




“ชั้นจะมาทุกวัน จนกว่าพวกนายจะบอกว่าเฮอร์ไมโอนี่อยู่ที่ไหน ต่อให้ชั้นต้องตายด้วยมือของนายก็ตาม”




*-*-*-*-*-*-*-*

บทที่ 8 ไม่มีอะไร (นึกชื่อตอนไม่ออก)




หลังจากคุยกับรอนจนร้านปิด

และรอนไล่ให้มัลฟอยกลับบ้านแล้วเขาจึงขับรถยนต์เรียบชายเขามาเพื่อจะกลับไปคฤหาสน์มัลฟอยที่ตั้งอยู่บนภูเ

ขาห่างไกลจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของมักเกิ้ล ชายหนุ่มขับรถมาจอดหน้าประตูคฤหาสน์อย่างเงียบ ๆ

แต่ก็ไม่พ้นวิสัยที่หูของเอลฟ์ผู้ซื่อสัตย์ตัวน้อยจะได้ยิน

มันรีบมาเปิดประตูโค้งต้อนรับนายน้อยของมันอย่างยินดีที่นายมันกลับมา




“นายน้อยกลับมาแล้ว มีคนมารอนายน้อยเจ้าค่ะ มารอตั้งนานแล้ว ไลล่าบอกให้เธอกลับไปก่อน

เพราะนายน้อยอาจจะกลับดึก แต่เธอก็ไม่ยอม ยืนยันจะพบนายน้อยให้ได้เจ้าค่ะ ไลล่าสมควรโดนลงโทษ”

พูดจบเอลฟ์ตัวน้อยก็รีบเอาหัวไปกระแทกประตูคฤหาสน์ทันที มัลฟอยได้แต่มองอย่างเซ็ง ๆ

และถอนหายใจพูดขึ้นว่า




“พอแล้ว ไลล่า” แล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไป โดยไม่สนใจเอลฟ์น้อยที่ยืนมึน กำลังสะบัดหัวแรง ๆ

ก่อนเดินตามนายน้อยของมันเขาประตูไป




“เขาอยู่ไหน” มัลฟอยถามขึ้นหลังจากเข้ามาในห้องรับแขกแล้ว แต่ไม่เจอใครสักคน




“เอ๋ ไลล่าให้เขานั่งรอตรงนี้เจ้าค่ะ” พลางชี้มือไปที่โซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่หน้าเตาผิงหินขนาดใหญ่

“แต่ตอนนี้เขาหายไปแล้วเจ้าค่ะ”




“ชั้นก็รู้ว่าเขาหายไป” เสียงมัลฟอยเริ่มหงุดหงิด และดังขึ้นทีละน้อย “แล้วเขาหายไปไหนเล่า”




“หาชั้นหรอ เดรโก” เสียงผู้หญิงดังขึ้นที่ประตูห้องรับแขก “ชั้นไปเดินดูอะไรนิดหน่อย

ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยนะ”




“นึกว่าใคร เธอเองหรอ แพนซี่” มัลฟอยหันมาตามเสียงแล้วพบกับต้นตอ “มีอะไรรึไง ถึงรอให้เช้าไม่ได้”

ถามออกไปทั้ง ๆ ที่พอจะเดาได้ว่าหญิงสาวมาด้วยเรื่องอะไร




“ไม่ต้องมาทำไก๋เลย เดรโก บอกชั้นมาให้หมดเลยนะ เธอไปซี้ ไปสนิทกับ...กับไอ้หมอนั่นได้ไง”




“ใครหรอ ไอ้หมอนั่นของเธอ” ชายหนุ่มยั่วอารมณ์ของหญิงสาวต่อไปอย่างสนุกสนาน




“ก็ไอ้นายวิสลี่ผมแดงนั่นไง แล้วเค้าก็ไม่ใช่ของชั้นด้วย” แพนซี่เดินกระแทกส้นเท้ามานั่งบนโซฟาตัวเล็ก

ในขณะที่มัลฟอยลงนั่งบนโซฟาตัวยาวในท่าเอน ๆ สบาย ๆ




“ไม่ใช่แค่วิสลี่เท่านั้นนะ ทั้งพอตเตอร์ และวิสลี่น้อยด้วย อ้อ

ต้องบอกว่าวิสลี่ทั้งครอบครัวจะถูกกว่า”




“ได้ไง เดรโก บอกมาให้หมดเดี๋ยวนี่นะ” แพนซี่คาดคั้น วิญญาณนักข่าวเริ่มเข้าสิง

ความอยากรู้เข้าครอบงำ




“ก็ไม่มีอะไรชั้นให้เข้าช่วยอะไรบางอย่างน่ะ”

แล้วมัลฟอยก็เริ่มเล่าถึงตอนที่ไปอยู่หน้าประตูบ้านวิสลี่ในเช้าวันคริสมาสต์

เกิดการโต้เถียงกับรอนนิดหน่อย และหลังจากนั้น ชายหนุ่มมักจะขี่ไม้กวาดไปบ้านวิสลี่ทุกวัน ๆ

จนตอนหลังเปลี่ยนเป็นใช้ผงฟลูแทน จนรอนบ่นว่า “นี่เรายังเป็นศัตรูกันรึป่าวว่ะ” ใส่หูชายหนุ่มทุกวัน

และทุกครั้งมัลฟอยจะตอบว่า “อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย วิสลี่ ชั้นยังเกลียดนายเหมือนเดิมนั่นแหละ”

และจบลงด้วยการทะเลาะกัน จนคุณนายวิสลี่ต้องเข้ามาห้ามทัพ กลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว




“แล้วเธอไปที่นั้นทุกวัน แต่ไม่ได้ข่าว ‘เขา’ บางเลยรึไง” แพนซี่ถามขึ้นเมื่อมัลฟอยเล่าจบ




“ไม่เลย แม้แต่พวกนั้น ‘เขา’ ยังไม่ยอมบอกเลยมา ‘เขา’ ไปอยู่ที่ไหน

ส่งมาแต่ของขวัญกับการ์ดอวยพรในวันสำคัญ ๆ เท่านั้น”

“พวกนั้นอาจจะปิดบังเธอก็ได้” แพนซี่เดาไปตามความรู้สึกของเธอ




“ตอนแรกชั้นก็คิดแบบนั้น แต่พออยู่ไปนาน ๆ ชั้นถึงได้มั่นใจว่า พวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ‘เขา’

คงเดาได้ว่าชั้นจะต้องมาคาดคั้นกับพวกนี้แน่ ใจแข็งชะมัดเลย วันนี้ก็ตั้งใจไปถามความคืบหน้า

แต่ก็เหมือนเดิม” แววตาองชายหนุ่มแลดูอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ย้อท้อ

“เขาจะต้องเสียใจที่ปล่อยให้ชั้นรอ”




“เธอนี่น้ายังจะพูดแบบนั้นอีก.......ชั้นไปละ มานานมากแล้ว

แล้วอย่าลืมบอกเอลฟ์ของเธอด้วยว่าชั้นไม่มีอันตราย ไม่ต้องมาเฝ้าชั้นตลอดเวลาหรอก”

หญิงสาวพูดจบก็ลุกขึ้นไปที่เตาผิง หยิบผงฟลูมาหนึ่งกำมือและก้าวเข้าไปยืนในเตาผิง

แต่ก่อนที่จะโยนผงฟลูลงไป มัลฟอยที่เดินมาส่งก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า




“เออนี่ วิสลี่ฝากมาบอกว่า อย่าลืมไปกินอาหารที่ร้านอีกนะ มันจะรออย่างใจจดใจจ่อเลย” มัลฟอยพูดยิ้ม

ๆ และเนื่องจากแพนซี่เข้าไปยืนในเตาผิงแล้ว ชายหนุ่มจึงมองไม่เห็นว่าทันทีที่มัลฟอยพูดชื่อรอนออกมานั้น

หญิงสาวชะงักหน้าแดง ใจแกว่งขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่รู้สาเหตุ ‘ใจเต้นทำไมนะเรา’




“ใครเขาจะไปอีกเป็นครั้งที่สองกัน” แล้วรีบโยนผงฟลูลงไปก่อนจะบอกที่หมายปลายทาง

แล้วร่างกายหญิงสาวก็ถูกโอบล้อมด้วยเปลวไฟสีเขียว และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ปล่อยให้เจ้าของบ้านมองอย่างขำ ๆ กับคู่นี้ที่เริ่มมีอะไรแปลก ๆ ต่อกัน




*-*-*-*-*-*-*-*




วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มัลฟอยต้องทำงานจนหัวปั่น เนื่องจากต้องเคลียร์งานกับ ‘ไอค์’

ที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์กับมักเกิ้ลให้เรียบร้อย ก่อนที่ไอค์จะต้องย้ายไปอเมริกา

และเพื่อให้คนที่กระทรวงจะส่งมาแทนไอค์จะได้ทำงานได้ทันที




“พรุ่งนี้คนที่จะมาแทนผม เขาจะมาถึงที่นี่ประมาณ 9 โมงเช้านะครับคุณมัลฟอย

ยังไงถ้าเค้ามาถึงผมจะพามาแนะนำให้รู้จักนะครับ”




“โอเค ไอค์ แต่ผมอาจจะมาถึงช้าหน่อย คุณให้เค้าเข้าไปรอในห้องผมได้เลย”

มัลฟอยสั่งหลังจากพยักหน้ารับรู้ “เอาล่ะ คงไม่มีอะไรแล้วนะ งั้นก็กลับบ้านกันดีกว่า อ้อ

วันนี้เราไปดื่มกันหน่อยดีมั้ย เลี้ยงส่งคุณน่ะ”




“คุณอุตส่าห์เลี้ยงผมจะไม่ไปได้ยังไงล่ะครับ” ไอค์ตอบรับด้วยความเต็มใจ

ถึงแม้มัลฟอยจะเป็นเจ้านายที่เจ้าอารมณ์อยู่สักหน่อย แต่เขาก็ใจกว้าง เอาใจใส่ลูกน้องเป็นอย่างดี




“อ้าว งั้นจะรออะไรล่ะ ไปเร็ว” มัลฟอยคว้าเสื้อสูทมาสวมก่อนจะเดินนำหน้าไอค์ออกไปจากห้อง




มัลฟอยเดินอย่างรีบ ๆ ไปตามทางเดินของบริษัท ขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 10 โมงแล้ว

แต่มัลฟอยเพิ่งจะเดินทางมาถึงบริษัท เขาตื่นสายสาเหตุก็มาจากการดื่มเมื่อคืนนี้ เขาดื่มเข้าไปมากมาย

แม้ว่าไอค์จะเตือนเขาแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจยังคงดื่มต่อไป จนหลับคาโต๊ะ

เดือดร้อนให้ไอค์ต้องขับรถของมัลฟอยมาส่งเขาที่บ้าน และปล่อยให้ไลล่าวุ่นวายจัดการพามัลฟอยไปนอน




“คุณมัลฟอย ทำไมเพิ่งมาครับ” ไอค์เดินออกมาจากห้องพอดีกับที่มัลฟอยเดินมาถึงประตู “เธอโมโหใหญ่แล้ว

ว่าปล่อยให้เธอรออย่างนี้ได้ไง” ไอค์รีบตรงมาลากมัลฟอยจะเข้าห้อง แต่มัลฟอยขืนตัวไว้

และถามอย่างสงสัย




“คุณว่าอะไรนะ ไอค์ เธอ...งั้นหรอ ให้ตายสิ ผมไม่อยากทำงานร่วมกับผู้หญิง ผมเคยบอกฟัดจ์แล้วไง

ทำไมเขายังส่งผู้หญิงมาให้ผมอีก” มัลฟอยดูหงุดหงิดเป็นอย่างมาก




“ผมรู้ แต่ตอนนี้ที่กระทรวงคนของเราถูกส่งไปหมดแล้ว เหลือแต่เธอนี่ล่ะ คุณลองทำงานกับเธอดูก่อน

บางทีเธออาจจะดีกว่าผมก็ได้”




“เชอะ” มัลฟอยส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมให้ไอค์ลากเข้าห้องไป

ทันทีที่สายตาไปสัมผัสกับแผ่นหลังของสตรีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ความรู้สึกโหยหา อาวรณ์

แล่นขึ้นมาสู่หัวใจ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไอค์ดันหลังมัลฟอยที่ยืนค้างอยู่หน้าห้องให้เข้าไป

ระหว่างที่เดินไปนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง มัลฟอยยังคงมองไปที่หญิงสาวตลอดเวลา จากด้านหลังค่อย ๆ

เลื่อนไปเรื่อย ๆ ความโหยหายิ่งทบทวี จนกระทั่งเขามายืนอยู่ตรงหน้าเธอเรียบร้อยแล้ว

ส่วนไอค์เดินไปยืนข้าง ๆ เธอ ก่อนจะแนะนำให้มัลฟอยรู้จักหญิงสาวหน้าตาคมคาย ผิวขาวอมชมพูน่าทะนุถนอม

รูปร่างดี นัยย์ตาสีฟ้าใส ผมเหยียดตรงสีบรอนซ์เหมือนเขา




“คุณมัลฟอยครับ นี่รินซี่ อาวน์วาซ ที่จะมาทำงานแทนผม คุณอาวน์วาซ นี่คุณมัลฟอย

เจ้านายคนใหม่ของคุณ” มัลฟอยยังคงมองเธออย่างสับสน

แต่รินซี่กลับมองเขาอย่างตำหนิที่ปล่อยให้เธอต้องรอเกือบชั่วโมง

และสายตาแบบนี้เองที่กระทบใจมัลฟอยอย่างแรง




“สวัสดีค่ะคุณมัลฟอย” รินซี่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน พร้อม ๆ

กับยื่นมือมาเพื่อให้จับกันก่อนชักกลับอย่างรวดเร็ว

และก็เกือบจะทันทีที่มัลฟอยสัมผัสโดนปลายนิ้วของหญิงสาว

เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นจากปลายนิ้วของหญิงสาวเข้ามาสู่ตัวเขา มัลฟอยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต้อนรับ




“เอ่อ..สวัสดีเช่นกันครับคุณอาวน์วาซ ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกัน”




“คิดยังงั้นหรือค่ะ ดิชั้นคิดว่าคุณไม่อยากทำงานร่วมกับผู้หญิงซะอีก”

หญิงสาวได้ยินที่มัลฟอยพูดกับไอค์หน้าห้องพอดี บวกกับความโกรธที่ถูกปล่อยให้รอ

จึงอดเหน็บแนมเจ้านายใหม่ไม่ได้

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้คงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ แต่คนอย่างมัลฟอย

ถึงแม้ชายหนุ่มจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่เรื่องชอบแกล้งคนยังคงอยู่อย่างมั่นคงในตัวเดรโก มัลฟอย

เขาเริ่มรู้สึกว่าชีวิตไร้สีสันของเขา ค่อย ๆ มีสีสันขึ้นมาเล็กน้อยตั้งแต่เธอคนนี้ก้าวเข้ามาในชีวิต




“นั่นเป็นความคิดแรกก่อนเจอคุณ แต่พอได้พบคุณแล้ว ผมรู้สึกว่าคงจะเป็นการน่าเสียดาย

ถ้าจะต้องเสียคุณไปให้กับที่อื่น”




“เอาล่ะ พวกคุณยังมีเวลารู้จักกันอีกเยอะ

แต่ตอนนี้คุณอาวน์วาซคงต้องไปเรียนรู้งานจากผมก่อนนะครับคุณมัลฟอย”

ไอค์รู้สึกถึงความตึงเครียดแผ่ออกมาจากคนทั้งสอง จึงรีบแยกคนทั้งคู่ออกจากกัน

โดยการพารินซี่ออกมาจากห้อง ระหว่างที่เดินไปห้องทำงานของเขา

ไอค์เริ่มคิดว่าความวุ่นวายคงจะเกิดขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน




หลังจากที่ไอค์พารินซี่ออกไปจากห้องแล้ว ชายหนุ่มก็มานั่งครุ่นคิดบางอย่าง

เขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน ไม่เคยเห็นนัยย์ตาสีฟ้าที่มอบความขุ่นเคืองให้เขาตลอดเวลา

ไม่เคยเห็นผมสีบรอนซ์ตรงสลวยน่าสัมผัสนั้น ไม่คุ้นเคยกับใบหน้างดงามแต่บึ้งตึง

แต่ความรู้สึกมันกลับตรงข้าม ราวกับเขาเคยพบเธอมาก่อน คุ้นเคยอย่างประหลาด

แต่เขารีบปัดความรู้สึกนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะมีชื่อในเรื่องของผู้หญิง

แต่เขาถือว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นพนักงานของเขาแล้วล่ะก็ เขาจะไม่มีทางยุ่งด้วยเป็นอันขาด




*-*-*-*-*-*-*




วันนี้แพนซี่ต้องอารมณ์เสียเป็นอย่างมากตอนออกมาจากห้องของหัวหน้ากองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเ

ฟ็ต สาเหตุก็มาจากงานที่เพิ่งถูกมอบหมายมาให้เธอรับไปทำ

เธอถูกเรียกตัวเข้าไปเพื่อชมเชยกับความสำเร็จของบทความสัมภาษณ์เดรโก มัลฟอย

ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟน ๆ หนังสือพิมพ์ หลังจากปล่อยให้หญิงสาวภูมิใจกับคำชมเชยได้ไม่นาน

เธอก็ต้องหัวเสียสุดขีด เมื่อบ.ก. สั่งให้เธอไปสัมภาษณ์คน ๆ หนึ่งที่ตอนนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก

คนที่เธอไม่อยากจะเฉียดใกล้ คนที่สามรถกวนอารมณ์ให้ขึ้นลงได้มากที่สุด

คนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในขณะนี้ ใช่แล้ว โรนัลด์ วิสลี่!!!




หญิงสาวกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเธออย่างหัวเสีย พลางนึกย้อนไปถึงตอนที่ บ.ก.

เรียกตัวเธอเข้าไปพบ




‘แพนซี่เข้ามาก่อน เชิญนั่ง ๆ แหมคุณนี่เยี่ยมยอดจริง ๆ เลยรู้มั้ย

บทความของคุณกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงทั่วไปหมดในโลกพ่อมดของเรานี่’ บ๊อบ บ.ก.

พุงพลุ้ยกล่าวชมเชยแพนซี่ตั้งแต่เธอยังไม่ทันนั่งลงให้เรียบร้อย “ไม่เสียแรงที่ผมไว้ใจนะ”




แพนซี่ยิ้มแก้มปริกับคำชม พลางมองดู บ.ก. ของเธอหาอะไรง่วนอยู่บนโต๊ะ




‘เอ..อยู่ไหนน้า’ บ๊อบรำพึงกับตัวเองเบา ๆ ในที่สุดก็เจอสิ่งของที่ต้องการ

แฟ้มชื่อพร้อมประหวัดเล็กน้อยของบุคคลที่ต้องการให้แพนซี่ไปสัมภาษณ์ ‘อ่อ เจอแล้ว เอาไปแพนซี่

ผมอยากให้คุณสัมภาษณ์เค้า ตอนนี้ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึงเค้า

ผมอยากให้เราได้เป็นที่แรกที่ออกบทความเรื่องของเค้า เข้าใจใช่มั้ย’




‘แล้วเขาเป็นใครละค่ะ บ๊อบ’




‘คุณก็เปิดดูสิ’ บ๊อบบอกเธอพลางเอามือทั้งสองข้างไว้ที่ท้ายทอย แล้วเริ่มต้นอธิบาย

โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของแพนซี่ที่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เปิดดูหน้าแรก ‘เขาชื่อ โรนัลด์ วิสลี่

เป็นเจ้าของร้านอาหารที่อร่อยที่สุด สวยที่สุด น่าเข้าไปนั่งที่สุดในเมืองนี้

ผมต้องการให้คุณสัมภาษณ์เขาอย่างละเอียดเลยนะ รวมทั้งเรื่องหัวใจด้วย เพราะคราวคุณมัลฟอย

คุณไม่ค่อยละเอียดในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เช่น ทำไมคุณมัลฟอยถึงไม่ยอมมีคู่รักสักที อะไรแบบเนี้ย

มันเป็นจุดที่คนอ่านอยากรู้มากที่สุด เข้าใจใช่มั้ย แพนซี่..แพนซี่..ซ..ซ’




‘ทำไมต้องตะโกนด้วย บ๊อบ อยู่กันแค่นี้เอง’ แพนซี่สะดุ้งก่อนจะกล่าวตำหนิ บ.ก. ของเธอ

(ในความจริงคงโดนไล่ออกแหง่เลย)




‘อ้าว ก็ผมเห็นคุณเหม่ออยู่นี่ เรียกตั้งนาน คุณเข้าใจแล้วนะ’ บ๊อบย้ำกับหญิงสาวอีกครั้ง

แพนซี่อยากจะปฏิเสธใจแทบขาดว่าไม่ขอทำงานนี้ได้ไหม แต่กลับไม่มีโอกาสพูดเมื่อบ๊อบเอ่ยปาก




‘งั้นถ้าคุณมีอะไรแล้ว ก็เชิญเถอะ ผมจะได้ทำงานต่อ เอาให้เยี่ยมเหมือนคราวคุณมัลฟอยนะ’

บ๊อบยกนิ้วโป้งให้ พร้อมกับยิ้มให้ แต่แพนซี่อยากจะร้องไห้ออกมามากกว่า

เธอสาบานไว้ว่าจะไม่เข้าใกล้รอนอีก แต่นี่ยังไม่ทันไรเธอก็ต้องผิดคำสาบานซะแล้ว




หญิงสาวอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ เมื่อคิดไปถึงว่าเธอต้องไปหาเขา อ้อนวอนหลอกล้อให้เขายอมให้สัมภาษณ์เธอ

นี่เธอจะต้องโดนเขาแกล้งแน่ ๆ หรือไม่ก็โยกโย้ไม่ให้สัมภาษณ์ดี ๆ




“โว้ยยยย ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” หญิงสาวบ่นออกมาดัง ๆ

จนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องรีบหลบ

เพราะแพนซี่มองตาขวางกลับไปที่คนเหล่านั้น ก่อนจะฟุ่บหน้าลงกับท่อนแขนอย่างหมดเรี่ยวแรง




*-*-*-*-*-*-*-*-*










ตอนที่ 9 แลกเปลี่ยน




“กริ๊ง..ง..ง กริ๊ง..ง..ง”

เสียงหนึ่งดังลั่นขึ้นท่ามกลางความมืดมิดภายในห้องนอนที่ชั้นสองของร้านอาหารชื่อดัง

แต่ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งกำลังจะเคลิ้มหลับ

ตกใจสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเผ่นพรวดคว้าไม้กายสิทธิ์ที่วางไว้หัวเตียงมาถือส่ายไปมารอบห้อง

ก่อนจะตระหนักว่า เสียงที่ดังนั้นคืออะไร




“ฮาโหล ๆ ใครพูดน่ะ” รอนตะโกนใส่โทรศัพท์มือถือที่แฮรี่ซื้อมาให้เพื่อไว้ใช้ติดต่อกัน

แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ รอนก็ยังไม่ชินกับมันสักที

เสียงของรอนทำเอาแฮรี่ที่ถือมือถือของตัวเองห่างจากหูประมาณ 1 เมตรต้องส่ายหน้าอย่างปลง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ

สาวโทรศัพท์เข้ามาใกล้ ๆ หู ด้วยกลัวว่ารอนอาจจะตะโกนขึ้นมาอีก




“รอน นายไม่ต้องตะโกนก็ได้ หูจะแตก”




“ถ้าไม่ตะโกนนายจะได้ยินหรอ แฮรี่ ช่างชั้นเถอะ ว่าแต่นายมีอะไร” รอนยังคงตะโกนเช่นเดิม

ถ้าใครได้มาเห็นท่าแฮรี่ในตอนนี้คงอดขำไม่ได้ เวลาจะพูดทีก็ดึงโทรศัพท์เข้ามาที

พูดเสร็จต้องรีบเอาออกให้ห่างจากตัวที ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลาที่พูดโทรศัพท์กับรอน




“คราวหน้าชั้นจะส่งเฮ็ดวิกมา” แฮรี่พึมพำกับตัวเอง เป็นเพราะเขาร้อนใจ จึงเลือกใช้วิธีนี้




“เอ่อ รอน นายกลับบ้านบ้างรึป่าว” แฮรี่ถามรอนน้ำเสียงร้อนรน




“นายมีอะไรแฮรี่ ชั้นไม่ได้กลับบ้านมาเกือบอาทิตย์แล้ว” รอนตะโกนบอก

เมื่อเห็นแฮรี่เงียบไปจึงถามออกมาอย่างรู้ทัน “ทะเลาะกับจินนี่มาล่ะสิ”




“ก็......นิดหน่อยน่ะ” แฮรี่ตอบเบา ๆ




“คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ” รอนถามอย่างคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ของเพื่อนรักและน้องสาวของเขา

“ตั้งแต่พวกนายคบกันเมื่อสามปีก่อน ชั้นเห็นพวกนายทะเลาะกันตลอดเลย มันสนุกมั้ยเนี่ย”




“ก็สนุกดีเหมือนกันนะรอน แบบว่าเวลาชั้นเห็นจินนี่แล้ว ทำให้อยากแกล้งไงก็ไม่รู้ แหะๆๆ

เค้าชอบทำปากแข็งเรื่อย ถามอะไรก็ไม่ค่อยจะยอมพูดความจริง” แฮรี่บ่นเล็กน้อย




“เค้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เก็บอะไรไว้ในใจตลอด แต่เก็บไม่ค่อยมิด

ว่าแต่คราวนี้นายไปแกล้งอะไรเค้าล่ะ” รอนถามอย่างสงสัย และแน่นอนว่าเขายังคงตะโกนอยู่




“ก็แค่แหย่เค้าว่าอาหารที่เค้าทำมันไม่อร่อย ชั้นยังทำอร่อยกว่าอีก” แฮรี่บอกเสียงอ่อย ๆ




“เรื่องแค่เนี้ย โอย จะบ้าตาย แฮรี่นายก็รู้ว่าจินนี่กังวลเรื่องฝีมือทำอาหารมาก

นายยังไปล้อเค้าเรื่องนี้อีกนะ แล้วนี่นายจะทำยังไงต่อไป จะไปง้อเค้ามั้ย”




“ชั้นไปง้อแล้ว แต่เค้าไม่ยอมออกมาพบ สงสัยจะโกรธจริง ๆ นายช่วยชั้นหน่อยสิ รอน

ชั้นคิดถึงเค้าจะแย่แล้ว” แฮรี่อ้อนวอนเพื่อนรัก รอนส่ายหน้าปลง ๆ




“นายแกล้งน้องสาวชั้น แล้วยังขอให้ชั้นช่วยนายอีกหรอเนี่ย…เอาเถอะ เดี๋ยววันเสาร์ชั้นจะกลับบ้าน

นายรอหน่อยแล้วกัน”




“ตั้งวันเสาร์เชียวหรือรอน อีกตั้งสองวันแน่ะ” แฮรี่อุทธรณ์เสียงอ่อย ๆ “เร็วกว่านั้นไม่ได้หรอ”




“ฮ่า..ฮ่า แฮรี่ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ต้องมาอ้อนวอนชั้น โรนัลด์ วิสลี่ ผู้ต่ำต้อย เสียใจแฮรี่

วันเสาร์ก็คือวันเสาร์ แค่นี้นะ” รอนตะโกนส่งท้ายก่อนตัดสัญญาณมือถือ ไม่ฟังเสียงโวยวายของแฮรี่เลย







หลังจากคุยจบชายหนุ่มก็เดินไปล้มตัวลงบนที่นอน ขณะที่กำลังเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับนั้น

ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “ก๊อก ๆๆๆ”




“อะไรอีกว่ะเนี่ย” รอนสะดุ้งตื่นเป็นครั้งที่สอง พลางมองหาที่มาของเสียง

จนไปหยุดที่หน้าต่างที่มีเงาตะคุ่ม ๆ ของนกฮูกเกาะอยู่ “ใครอีกล่ะ”

ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้นกฮูกสาวเข้ามา และรีบแกะจดหมายออกจากขาของมัน

แต่ถึงจะหยิบจดหมายมาแล้ว เจ้านกฮูกน้อยก็ยังไม่ยอมไป มันมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

สายตาที่เขารู้สึกคุ้น ๆ อย่างประหลาด




“อะไร มองทำไม เดี๋ยวเถอะ” รอนทำท่าจะตีมัน แต่มันกลับบินไปเกาะที่หลังตู้แทน รอนมองตามมันไป

“จะรอจดหมายตอบกลับหรอ” นกฮูกสาวทำเสียงต่ำ ๆ เป็นเชิงตอบรับ




“งั้นรอแป๊บ” รอนเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อม ๆ กับที่มือก็เปิดซองไป ปากก็บ่นไป

ทำนองว่าจะมีบ้างไหมที่จะได้หลับอย่างสงบสุข อะไรประมาณนั้น เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว

จึงก้มลงอ่านข้อความในจดหมาย คิ้วที่ขมวดมุ่นในตอนแรก ค่อย ๆ คลายกลายเป็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาแทน

ทันทีที่อ่านจดหมายจบและรู้ที่มาของจดหมายฉบับนี้




วิสลี่




ชั้นถูกบังคับให้ต้องมาสัมภาษณ์นาย นายพร้อมจะให้สัมภาษณ์เวลาไหน ช่วยบอกด้วย ชั้นไม่ชอบรอ




พาร์กินสัน




“ขนาดขอสัมภาษณ์ชั้นยังจะมาออกคำสั่งกันอีก เธอนี้จริง ๆ เลยน้า” รำพึงกับตัวเองเบา ๆ

ก่อนจะหันไปหยิบกระดาษ ปากกาขึ้นมาเขียนข้อความบางอย่างลงไป

หลังตรวจทานดีแล้วว่าเมื่อคนรับได้อ่านจะต้องรีบแจ้นมาที่นี่ทันที

จึงพับแล้วเรียกนกฮูกสาวมาผูกจดหมายที่ขาของมัน และมองดูมันค่อย ๆ บินห่างออกไป

เหมือนกับจะฝากความรู้สึกไปกับนกน้อยตัวนั้นถึงเจ้าของของมัน

ก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่คราวนี้ชายหนุ่มกลับนอนไม่หลับอีกต่อไป

ทุกครั้งที่หลับตาใบหน้านั้น ท่าทางแบบนั้นจะเข้ามาโผล่ทุกที




“นี่เธอเป็นผีรึไง พาร์กินสัน ชั้นไม่ชอบผีนะ” รอนพึมพำเบา ๆ

ก่อนจะปล่อยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างยากลำบาก




ด้านแพนซี่ เธอรอจดหมายตอบกลับอย่างกระวนกระวาย หญิงสาวเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ริมหน้าต่าง

เธออยากรู้ว่ารอนจะตอบจดหมายว่าอย่างไรบ้าง และในทันทีที่แพนซี่เห็นจุดเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า

หญิงสาวรีบวิ่งไปเกาะหน้าต่างพลางเพ่งมองให้แน่ใจว่าเป็นนกฮูกของเธอหรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าใช่

หญิงสาวรีบเปิดหน้าต่างให้นกฮูกของเธอทันที เมื่อมันมาถึงก็รีบยื่นขาให้เธอแกะจดหมาย

แล้วบินไปกินน้ำที่กรงของมันทันทีด้วยความเหนื่อย




เมื่อได้รับจดหมายมาแล้วก็รีบเปิดออกอ่านทันที และทันทีที่อ่านจบใบหน้าผ่องนั้น ก็เริ่มมีสีแดง

ไม่ได้เขินอาย แต่เป็นความโกรธสุดขีด มือกำจดหมายแน่นจนมันยับยู่ยี่




“วิสลี่ นาย....มันจะมากไปแล้วนะ” หญิงสาวทำท่าจะทิ้งจดหมายนั้นไป

แต่ก็นึกได้จึงคลี่จดหมายพับเก็บใส่กระเป๋าเอกสารคู่ใจ

วันนี้เป็นวันที่รอนมีความสุขมากที่สุด เนื่องจากสัญชาติญาณบอกเขาว่า เขาจะต้องเจอเรื่องอะไรดี ๆ

จากจดหมายเมื่อคืนนี้ ชายหนุ่มฮัมเพลงตลอดเวลาที่ทำอาหารตามที่ลูกค้าสั่ง จนลูกน้องเอาไปนินทา




“พวกนายว่าวันนี้นายเราอารมณ์ดีกว่าปกติหรือเปล่า ชั้นเห็นเขาฮัมเพลงตลอดเวลาเลย แถมเป็นเพลงหวาน ๆ

ด้วยนะ ฟังแล้วกลัวลูกค้าจะเป็นโรคเบาหวานตายซะก่อน” พนักงานคนหนึ่งในร้านพูดขึ้นมา

เพราะทนความสงสัยไว้ไม่ไหว




“เฮ้ย นายก็พูดเกินไป ไปทำงานดีกว่า เดี๋ยวนายมาเห็นเข้าจะยุ่ง” พนักงานคนหนึ่งเตือน

ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน จนกระทั่งใกล้เวลาปิดร้าน เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ

พร้อมกับร่างบางของแพนซี่ที่ก้าวเข้ามา พนักงานหันมามอง ก่อนจะก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าของหญิงสาว

เอ่ยอย่างเกรงใจ




“เอ่อ ขอโทษครับ ใกล้เวลาปิดร้านแล้วครับ”




“ชั้นไม่ได้มากินอาหาร คุณวิสลี่นัดชั้นมา” แพนซี่กล่าวเสียงห้วน ๆ




“เอ่อ ถ้างั้นกรุณารอสักครู่ครับ ผมจะไปเรียนนายให้ว่าคุณ.....” พนักงานเว้นจังหวะเล็กน้อย

เป็นการแสดงความจำนงขอทราบชื่อผู้ถูกรับเชิญ




“พาร์กินสัน..แพนซี่ พาร์กินสัน” หญิงสาวบอกเสียงห้วน ๆ




“ครับ ผมจะไปเรียนนายว่าคุณพาร์กินสันมาถึงแล้ว เชิญไปนั่งตรงโน้นก่อนดีกว่าครับ

เดี๋ยวผมจะเอาน้ำเย็น ๆ มาให้” แพนซี่พยักหน้าเล็ก ๆ

อย่างไว้เชิงก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ของโต๊ะอาหารตัวหนึ่ง พนักงานจึงผละไป

ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำในมือ




“นายขออาบน้ำก่อนเพราะทำอาหารมาทั้งวัน เกรงว่าคุณจะเหม็นเหงื่อเอาได้ รอสักครู่นะครับ”

พนักงานคนเดิมวางแก้วน้ำตรงหน้าก่อนจะบอกข้อความที่รอนฝากมา “แล้วก็พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ

สวัสดีครับ” แล้วก็เดินออกไปจากร้านทันที ปล่อยให้แพนซี่มองอย่าง งง ๆ

ตอนนี้เหลือเธอนั่งอยู่คนเดียวในร้านอาหาร หญิงสาวมองไปรอบ ๆ

ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วนั่งรออย่างใจเย็น




เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ความอดทนของแพนซี่เริ่มหมดลง หญิงสาวหันซ้ายหันขวา

กำลังตัดสินใจว่าจะทำลายข้าวของตรงส่วนไหนก่อนดี

ก็พอดีกับที่เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังร้าน หน้าตาสดใส

ไม่ได้สนใจสักนิดว่าปล่อยให้หญิงสาวรอนานแค่ไหน




“ไงพาร์กินสัน รอนานมั้ย เผอิญชั้น..เนื้อย..เหนื่อย เลยแช่น้ำนานไปหน่อย”

รอนเดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหญิงสาว

และด้วยท่าทางไม่ได้รู้สึกผิดนี้เองที่ทำลายความอดทนของหญิงสาวให้หมดสิ้นไป

หญิงสาวตบโต๊ะเสียงดังพลางลุกขึ้นชะโงกตัวข้ามโต๊ะไปยังชายหนุ่ม ตะโกนก้อง




“หน่อยงั้นเหรอ มันนานมากเลยต่างหาก นายจงใจแกล้งชั้น รวมทั้งจดหมายบ้า ๆ ของนายด้วย”

แพนซี่ปาจดหมายใส่หน้ารอนเต็มแรง มันถูกใบหน้านั้นอย่างจัง ก่อนตกลงไปบนตัวเขา




“อ๋อ จดหมายนี่นะหรอ มันแค่ของแลกเปลี่ยนเองพาร์กินสัน” ชายหนุ่มหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน




พาร์กินสัน ที่รัก




ผมไม่มีเวลาว่างมาให้สัมภาษณ์คุณหรอกนะ แต่ถ้าคุณอยากจะสัมภาษณ์ผมนักล่ะก้อ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

เอาเป็นริมฝีปากคุณเป็นไง ผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้




ปล. มาหาผมวันพรุ่งนี้ ตอนร้านใกล้ปิด แล้วเราค่อยตกลงกัน ถ้าหลังจากพรุ่งนี้ไปแล้ว

ผมจะไม่ตกลงอะไรกับคุณทั้งสิ้น




วิสลี่ ของคุณ




“ก็เคลียร์ดีนี่ คุณสงสัยตรงไหน” ชายหนุ่มทำเป็นไม่สนใจแพนซี่ที่กำลังยืนกำมือแน่น ยังคงพูดต่อไป

“นี่คุณไม่เมื่อยรึไง นั่งลงแล้วมาตกลงกันดีกว่าน่า”




หญิงสาวจำใจนั่งลงอย่างกระแทกกระทั้น ระงับอารมณ์ที่คุกรุ่น แล้วตัดสินใจถามให้รู้เรื่องกันไป




“นายจะเอายังไง วิสลี่ ตกลงจะให้สัมภาษณ์มั้ย” ห้วน กระชาก ดุดัน เสียงของหญิงสาวทำเอารอนแอบขำในใจ

ก่อนจะแกล้งทำเป็นกลัวรนราน




“กลัวแล้วจ้า กลัวแล้ว ฮึ..ชั้นก็บอกเธอไปแล้วไง มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

ทีนี้ขึ้นอยู่กับเธอจะตกลงรึเปล่า” รอนยักคิ้วให้หญิงสาวทีนึง และจ้องรอคำตอบ

ทีนี้กลายเป็นแพนซี่ที่ต้องเงียบ และใช้ความคิดอย่างหนัก แน่นอนเธออยากได้คำสัมภาษณ์ของเขา

แต่เธอก็ไม่อยากจูบเขาเหมือนกัน รอนคงเห็นสีหน้าลำบากใจของหญิงสาว จึงพูดขึ้นว่า




“เอางี้ คุณไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก คุณเอาไปคิดดูล่ะกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาหาผม ผมไม่รีบ”

แล้วรอนก็ลุกขึ้นเดินอ้อมมายังฝั่งของหญิงสาว ก่อนจะก้มลงกระซิบเบา ๆ ที่หูของเธอ




“วันนี้ กู้ดไนท์ ครับ” รอนจงใจให้ริมฝีปากสัมผัสเบา ๆ ที่หูของเธอเวลาพูด ทำเอาแพนซี่หน้าแดง

ตัวแข็งทื่อ เกือบลืมหายใจ แล้วรอนก็เดินจากไปทางหลังร้าน ปล่อยให้หญิงสาวนั่งอยู่คนเดียว

กับความคิดสับสนในใจ ‘ทำไมเราต้องรู้สึกไปกับสัมผัสของหมอนั่นด้วย และที่แปลกคือ

มันไม่เหมือนตอนที่เราคบกับเดรโกเลย เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับเดรโกเลย’




*-*-*-*-*-*-*-*

---------------

ตอนที่ 10 พบเพื่อนเก่า




เช้าตรู่ในคอนโดหรูหราแห่งหนึ่งกลางกรุงลอนลอน ซึ่งเป็นที่พำนักของหญิงสาวร่างบางสมส่วน

นัยย์ตาสีน้ำตาล ผมที่เคยฟูน้อย ๆ มาบัดนี้ได้รับการดูแลอย่างดีจนมันเข้าที่เข้าทาง

ดูเก๋อย่างไม่น่าเชื่อ เธอคือ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ หญิงสาวที่มัลฟอยตามหามานานแสนนาน

บัดนี้เธอกลับมาแล้ว แต่ยังไม่มีใครสักคนรู้ว่าเธอกลับมา หญิงสาวไม่อยากบอกใคร

เพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอบอกใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแฮรี่ รอน หรือใครสักคนในครอบครัววิสลี่

เรื่องของเธอจะต้องรู้ถึงหู ‘เขา’ แน่นอน ถึงเธอจะทำใจได้แล้ว แต่เธอยังไม่พร้อมเผชิญหน้าเขาตรง ๆ

เดรโก มัลฟอย ชายผู้ทำลายหัวใจรักของเธอยับเยิน

และที่เธอกลับมาเพราะเธอได้รับมอบหมายให้มาทำงานให้กับกระทรวงเวทมนตร์




“ห้าปีแล้วสินะ ที่ชั้นจากไป และก็เป็นห้าปีเหมือนกันที่ชั้นไม่เคยลืมนายได้เลย เดรโก”




หญิงสาวยืนอยู่ข้างหน้าต่าง และเหม่อมองออกไปยังบรรยากาศภายนอกที่เงียบเหงา พอ ๆ

กับจิตใจของเธอในยามนี้ พรางครุ่นคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นรักแรกและรักเดียวของเธอ

ช่วงปีแรกที่เฮอร์ไมโอนี่จากไป หญิงสาวพยายามอย่างมากในการหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงมัลฟอย

แต่ยิ่งห้ามเท่าไหร่ หัวใจยิ่งร่ำร้องหา ยิ่งพยายามตัดใจ หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งคิดถึงมากขึ้น

กว่าจะรู้สึกตัวเธอก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปเป็นปี โดยสูญเปล่า เธอจึงเลือกที่จะเก็บแต่ช่วงเวลาดี ๆ

ที่ได้อยู่กับเขาเอาไว้ เพื่อที่เธอจะสามารถก้าวเดินต่อไปได้

สี่ปีที่เหลือเฮอร์ไมโอนี่จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้บ้างกับงานของเธอ

หญิงสาวนึกมาตลอดว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว จนกระทั่งเธอกลับมา และได้เผชิญหน้าเขาอีกครั้ง

เธอจึงรู้ว่าเธอไม่สามารถลืมมันได้ และยังคงเจ็บปวด และที่ทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้นคือ

เธอเริ่มจะอภัยให้เขาหลังจากได้เห็นแววตาอ่อนโยน สับสนของเขาตอนเจอกันครั้งล่าสุด




“ชั้นจะโกรธนายได้อีกนานแค่ไหนกัน เดรโก” หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย วันนี้เธอต้องไปทำงานเป็นวันแรกหลังจากไปดูสถานที่และรับมอบงานมาแล้ว

หญิงสาวเลือกแต่งตัวมิดชิด เพราะเธอไม่ค่อยไว้ใจนายจ้างของเธอซักเท่าไหร่

หญิงสาวสำรวจดูตัวเองในกระจกถึงความเรียบร้อยก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์มาชี้ที่ใบหน้าก่อนร่ายคาถาออกมาเบา

ๆ สักครู่ใบหน้างดงามนั้นก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวอีกคน ผมบรอนซ์ นัยย์ตาสีฟ้าใส

ไม่หลงเหลือเค้าโครงเดิมแม้แต่น้อย มันคือใบหน้าของ รินซี่ อาวน์วาซ!!!!




หลังจากสำรวจดูหน้าตาของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ว่าไม่มีส่วนไหนเหมือนหน้าตาเดิมของเธอ

เฮอร์ไมโอนี่จึงคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินออกจากห้องไปเพื่อทำงาน เธอเลือกที่จะเดินทางแบบมักเกิ้ล

เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าเธอจะไปโผล่ที่เตาผิงในขณะที่มีมักเกิ้ลเป็นร้อยทำงานอยู่ที่นั่น




หลังจากฝ่าการจราจรที่ติดขัดของลอนดอนมาจนถึงที่ทำงานด้วยสภาพสะบักสะบอม เฮอร์ไมโอนี่ หรือ

รินซี่เดินตรงไปที่ห้องทำงานของเธอทันที ด้วยหญิงสาวเลี่ยงไม่อยากพบหน้ามัลฟอยในเวลาเช้า ๆ แบบนี้

แต่เมื่อเธอเดินไปถึงห้องทำงานที่เคยเป็นห้องของไอค์มาก่อน

และบัดนี้ห้องนั่นได้กลายมาเป็นห้องของเธอแล้ว รินซี่ (ในเวลานี้ขอเรียกรินซี่แทนล่ะกัน)

เปิดประตูเข้าไป เธอยืนงงอยู่พักใหญ่ก่อนจะพลุนพลันออกจากห้องไป แล้วตรงไปที่ห้องของท่านประธาน

หรือก็คือห้องของมัลฟอยทันที




“มันอะไรกัน เอมมี่ ทำไมห้องของชั้นมันถึงเต็มไปด้วยเอกสารและกระดาษมากมายแบบนั้น” รินซี่ถามเอมมี่

เลขานุการสาวของมัลฟอยอย่างหงุดหงิด




“เอ่อ..คือว่าเป็นคำสั่งของท่านประธานน่ะค่ะ ท่านสั่งไว้ว่าให้คุณเข้าไปหาท่านทันทีที่คุณมา”

เอมมี่เห็นความหงุดหงิดในแววตาของหญิงสาว จึงรีบระล่ำระลักบอก

รินซี่ได้ฟังจึงรีบเดินไปเปิดประตูห้องมัลฟอยทันทีและหายเข้าไปในนั้น




“โหย...น่ากลัวแห่ะ แต่ดูท่าท่านประธานคงถูกปราบเพราะเธอคนนี้แน่เลย” เอมมี่พึมพำเบา ๆ

คนเดียวก่อนหันไปทำงานต่อ




ด้านรินซี่เธอเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของชายหนุ่มด้วยหน้าตาเอาเรื่อง

แต่มัลฟอยแกล้งทำเป็นไม่เห็นซะอย่างนั้น ยิ่งยั่วยุอารมณ์ของหญิงสาวเพิ่มมากขึ้น

รินซี่จึงเอามือเคาะลงบนโต๊ะเพื่อให้เขาสนใจเธอ มัลฟอยจึงแกล้งเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ

แล้วสบตากับหญิงสาวเป็นเชิงถามว่า ‘มีอะไรครับผมคุณผู้หญิง’ ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจความหมายของดวงตานั้นดี

เพราะมันเป็นดวงตาแบบเก่าที่เธอทั้งรักทั้งแค้นมากนั่นเอง




“คุณทำอะไรของคุณ ทำไมห้องของชั้นถึงเต็มไปด้วยกระดาษและเอกสารอะไรก็ไม่รู้ เอมมี่บอกว่าเป็นคำสั่งคุณ

บอกมานะคุณมัลฟอย” รินซี่ยิงคำถามตรงเป้า มัลฟอยทำท่าสบาย ๆ ก่อนจะตอบ




“นั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มผายมือไปที่เก้าอี้ข้าง ๆ หญิงสาว

แต่เมื่อเห็นว่ารินซี่ไม่ยอมนั่งก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ และยอมตอบคำถามแต่โดยดี “เอาคำถามไหนก่อนดีล่ะ

เอาเรื่องห้องของคุณก่อนล่ะกัน ผมสั่งเอมมี่เอง ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ

ห้องนั้นผมตั้งใจจะใช้เป็นห้องเก็บเอกสารที่ไอค์เคยทำไว้ เพื่อที่ว่าเวลาคุณต้องการข้อมูลเก่า ๆ

คุณจะได้หาได้ง่าย ๆ มันจะอยู่เป็นที่”




“แล้ว...ชั้นจะนั่งตรงไหน” รินซี่ถามขึ้นด้วยอาการงุนงง




“อืม..ถ้าคุณไม่ได้สังเกตตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้แล้วล่ะก็ ผมจะบอกให้ก็ได้ นั่นคือที่ทำงานของคุณ”

ชายหนุ่มผายมือไปที่มุมห้องซึ่งมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ตัวหนึ่ง กับชั้นใส่เอกสารเล็ก ๆ

บนโต๊ะมีแจกันใส่ดอกไม้สวยงามวางอยู่ด้วย รินซี่มองตามมือของชายหนุ่มไปหยุดที่โต๊ะตัวนั้น

ก่อนจะหันขวับมามองมัลฟอยอย่างเอาเรื่อง แต่มันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสลดลงแม้แต่น้อย

ซ้ำยังรู้สึกสนุกที่ได้เห็นหญิงสาวโมโหด้วย ท่าทางของรินซี่ทำให้เขาอดคิดถึงหญิงสาวคนหนึ่งไม่ได้

คนเดียวในหัวใจของเขา




รินซี่ต้องเก็บอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านเอาไว้ เพราะรู้ว่าชายหนุ่มต้องการแกล้งเธอ

หญิงสาวจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวนั้นอย่างเสียมิได้

ความหวังที่จะอยู่ห่างชายหนุ่มให้มากที่สุดเป็นอันต้องพังไป แถมยังต้องระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

ถึงแม้มัลฟอยจะไม่ได้มีท่าทีคุกคามอะไรเลยในเช้าวันนั้น แต่หญิงสาวก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่บ้าง

ชายหนุ่มยังคงทำงานของตัวเองเรื่อย ๆ สบาย ๆ ในขณะที่รินซี่กลับทำงานไม่ค่อยรู้เรื่อง

ด้วยมัวแต่สะดุ้งทุกครั้งที่มัลฟอยขยับตัว หรือลุกเดินไปหยิบเอกสาร จนกระทั่งได้เวลาอาหารกลางวัน

มัลฟอยจึงปิดเอกสารตรงหน้า ก่อนจะลุกเดินมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ




“เที่ยงแล้ว ให้เกียรติผมเลี้ยงอาหารคุณสักมื้อได้มั้ย ถือว่าเป็นการเลี้ยงต้อนรับก็ได้”




หญิงสาวไม่อยากอยู่ใกล้เขามากเกินไป เพราะเธอกลัวตัวเองจะใจอ่อนไปมากกว่านี้

แต่ถ้าเธอปฏิเสธอาจทำให้เขาสงสัยก็เป็นได้

รินซี่หรือเฮอร์ไมโอนี่จึงหาทางออกด้วยการเอ่ยปากขอให้ชวนเอมมี่ไปด้วย




“ถ้างั้นชวนเอมมี่ไปด้วยนะค่ะ ชั้นต้องทำงานกับเค้าอีกนาน จะได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันไว้”




“ก็เอาสิ ดีเหมือนกัน ไปเถอะ” โชคดีที่มัลฟอยไม่ได้สังเกตอะไร

ว่าการชวนเอมมี่เป็นเพียงเพราะเธอไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังเท่านั้นเอง

หญิงสาวเก็บของก่อนจะหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินตามมัลฟอยออกมาหยุดหน้าโต๊ะของเลขานุการสาว




“เอมมี่ผมกับคุณอาวน์วาซจะไปทานอาหารเที่ยงกัน คุณอาวน์วาซอยากให้คุณไปด้วย ไปกับเรานะ”




“โอ้ว..เสียใจจริง ๆ ค่ะ คุณอาวน์วาซ ดิชั้นมีนัดเสียแล้วเที่ยงนี้ ขอเป็นโอกาสหน้านะค่ะ”

เอมมี่หันมาพูดกับหญิงสาวโดยตรง พร้อมขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ซึ่งหญิงสาวก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ

เชิงว่าไม่เป็นไร มัลฟอยจึงหันมาทางรินซี่และถามเธอราวกับเดาใจเธอออก




“คุณยังจะไปทานอาหารกับผมอยู่รึป่าว คุณอาวน์วาซ ในเมื่อเอมมี่เค้าไปไม่ได้แล้ว”




“...เอ่อ....คือ...” หญิงสาวอ้ำอึ้งตัดสินใจไม่ถูก




“ถ้าคุณกลัวที่จะไปกับผมตามลำพังก็ไม่เป็นไร” มัลฟอยแกล้งพูดขึ้น ด้วยเดานิสัยไม่ยอมคนของเธอออก

และก็สมใจชายหนุ่ม เมื่อเห็นหญิงสาวเชิดหน้าขึ้นอย่างไว้ลาย




“ใครไปกลัวคุณกันล่ะ จะไปไหนก็ไปสิ” แล้วออกเดินนำหน้าชายหนุ่มไปทันที

มัลฟอยหันมาสบตาเอมมี่เล็กน้อยเป็นเชิงว่ายกที่หนึ่งมัลฟอยชนะ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวไป

ทั้งคู่เดินมาขึ้นรถของมัลฟอยแล้วออกไปจากตึก มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารของรอนทันที

เมื่อชายหนุ่มขับรถมาเทียบหน้าร้านหม้อใหญ่รั่วแล้ว

จึงก้าวลงมาเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาวก่อนจะเดินนำเข้าไปหลังร้าน

หลังจากต่างคนต่างเงียบกันมาตลอดเวลาที่เดินทาง มัลฟอยจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน




“คุณเคยมาที่ร้านนี้รึป่าว คุณอาวน์วาซ เป็นร้านของคนรู้จักของผมเอง รอน วิสลี่ ดังที่สุดตอนนี้เลย”







ทันทีที่ได้ยินชื่อเจ้าของร้าน รินซี่ถึงกับสะดุ้งสุดตัว

ด้วยไม่คิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเพื่อนรักเร็วเช่นนี้

และเธอก็ไม่รู้ว่าจะหลอกรอนได้เหมือนที่หลอกมัลฟอยรึเปล่า เพราะเธอกับเขาสนิทกันมาถึง 7 ปี

ซึ่งมัลฟอยเองก็สังเกตุเห็นท่าทางของหญิงสาวจึงหยุดเดินแล้วหันมาถามอย่างแปลกใจ




“คุณไม่สบายรึป่าว หน้าคุณดูซีด ๆ นะ”




“ชั้น...เอ่อ...ชั้นไม่เป็นไรค่ะ ไปต่อเถอะ” รินซี่พยายามปรับสีหน้าและท่าทางให้ดูกระฉับกระเฉงขึ้น

แม้จะดูฝืดฝืนอยู่บ้างก็ตาม ซึ่งมัลฟอยเองก็ได้แต่มองอย่างสงสัยแต่ไม่ถามอะไรออกมา

หันหลังและเดินต่อไปโดยมีหญิงสาวเดินตามไปเงียบ ๆ

เมื่อมาถึงหน้าร้านหญิงสาวยืนมองอย่างตื่นตะลึงกับความน่ารักของร้าน

ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างรอนจะสามารถทำอะไรสำเร็จได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเค้ามาก่อนตอนที่เรียนที่ฮอกวอตส์

มัลฟอยเปิดประตูให้หญิงสาวเดินเข้าไปก่อน แล้วเดินตามเข้าไป เมื่อหาที่นั่งและสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว

ไม่มีใครพูดอะไรกัน ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ

สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังลั่นมาจากหลังร้านก่อนที่จะได้เห็นตัว




“เอ้า..มัลฟอย คราวนี้ผู้หญิงที่ไหนอีกล่ะ” รอนเดินออกมาจากหลังร้าน ตามด้วยชายหนุ่มผมดำยุ่งเหยิงนิด

ๆ ทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของทั้งคู่ พลางหันไปมองดูรินซี่อย่างสนใจ

ต่างมีความรู้สึกว่ากำลังได้เจอหน้าเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน

แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงหน้าตาแบบนี้มาก่อน รอนซึ่งมีความอดทนน้อยกว่าจึงโพล่งถามออกไปทันที




“เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ ผมรู้สึกเหมือนรู้จักคุณ แต่ผมเองก็แน่ใจว่าไม่เคยเห็นคุณมาก่อน

ถ้าความจำของผมไม่ผิดพลาดล่ะก้อ” แฮรี่พยักหน้าเห็นด้วยกับรอนอย่างเต็มที่

รินซี่หรือเฮอร์ไมโอนี่ได้แต่กรอกตามองสองคนสลับกันไปมา พลางคิดหาคำตอบ แต่สมองกลับตื้อขึ้นมาเฉย ๆ




“เอ่อ...คือ..อืม...”




“นี่ พวกนายอย่ามาใช้มุขเก่า ๆ แบบนี้ อยากรู้จักสาวสวยก็คุยกันไปเลยสิ ดันมาใช้มุขโบราณ

คุณอาวน์วาซอย่าไปสนใจคำพูดของพวกนี้เลยนะ เอาเป็นว่าผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับรอน วิสลี่

เจ้าของร้านอาหาร กับแฮรี่ พอตเตอร์ นักกีฬาควิดดิชทีมชาติอังกฤษครับ”




“ยินดีที่ได้เจอกันนะค่ะ” รินซี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสมือทั้งสองทีละคน

“ถ้าไม่มีธุระที่ไหน นั่งด้วยกันก่อนสิค่ะ”




“ด้วยความยินดีครับ” รอนตอบ แล้วทั้งหมดก็นั่งลงอีกครั้ง

หลังจากปล่อยให้ทั้งสองคนที่มาใหม่สั่งอาหารในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว

มัลฟอยก็หันมาพูดกับรอนโดยตรง




“นี่ นายไม่ต้องไปทำอาหารรึไงรอน ทุกทีนายไม่ยอมให้ใครทำอาหารแทนนายนี่”




“อ๋อ พอดีชั้นได้พ่อครัวมาใหม่ฝีมือดีมาก ๆ มาคนน่ะ เลยพอจะวางมือได้บ้าง

แล้วก็ชั้นจะได้มีเวลาออกมารับรองลูกค้าบ้างไง”




“เอ่อ แล้วนาย เอ๊ย คุณวิสลี่มาเปิดร้านนี้นานแล้วหรือค่ะ ลูกค้าแน่นมากเลย คงขายดีน่าดู”

รินซี่มองอย่างทึ่ง ๆ ในฝีมือของรอน




“ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอกครับ แต่...แหม ผมไม่อยากพูด เดี๋ยวจะหาว่าคุย คือคนมันมีฝีมือน่ะครับ

ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปซะหมด” รอนโอ่กับความสำเร็จจนทำเอาทุกคนบนโต๊ะหมั่นไส้ไปตาม ๆ กัน




“ทีตอนเรียนไม่เห็นทำได้ยังงี้เลย” รินซี่หรือเฮอร์ไมโอนี่รำพึงเบา ๆ




“คุณว่าอะไรนะ” แฮรี่ซึ่งนั่งเงียบมานานพูดขึ้น

เขาใช้เวลาที่ทุกคนกำลังคุยกันในการแอบมองสำรวจดูรินซี่อย่างเงียบ ๆ ด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง

ที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ในโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้




“อ๋อ เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ พอดีกำลังนึกอะไรนิดหน่อย”

รินซี่รู้สึกว่าแฮรี่อาจจะกำลังสงสัยในตัวเธอก็ได้ เพราะแฮรี่ช่างสังเกตมากกว่ารอน

รินซี่จึงเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็พูดคุยอย่างสนุกสนานด้วยเช่นกัน ทั้งสี่คน

(จะพูดให้ถูกคือสามคนมากกว่าเพราะรินซี่เลี่ยงที่จะคุยกับมัลฟอยตรง ๆ)

คุยกันอย่างถูกคอเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหลังจากจบการศึกษาแล้ว

เพราะเป็นช่วงที่รอน แฮรี่ และมัลฟอยใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากที่สุด มากกว่าตอนเรียน (แน่ล่ะ

ก็ตอนนั้นทั้งสามเป็นศัตรูกันนี่นา)




และแล้วเวลาแห่งการพบกันอีกครั้งของเพื่อนเก่า (ที่เฮอร์ไมโอนี่รู้อยู่คนเดียว) ก็จบลงอย่างน่าเสียดาย

รอนและแฮรี่เดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าร้าน หลังจากคนทั้งสองกลับไปทำงานต่อแล้ว

แฮรี่ซึ่งไม่สามารถสลัดความสงสัยออกไปจากใจได้จึงหันมาถามรอนอย่างเก็บไว้ไม่อยู่อีกต่อไป




“นี่ นายก็รู้สึกใช่มั้ยรอน”




“ใช่ แฮรี่ แต่....มันไม่น่าเป็นไปได้” รอนตอบ

ด้วยความที่คบกันมานานทำให้รอนรู้ว่าแฮรี่หมายถึงเรื่องอะไร




“ใช่ มันไม่น่าเป็นไปได้ หน้าตาก็ไม่เหมือนกันสักนิด แต่นายจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงล่ะ

ความรู้สึกที่เหมือนกับมีเธอมาคอยชี้นิ้วบอกนายให้ทำโน้นทำนี่ตลอดเวลาน่ะ”




“ไม่รู้สิ แฮรี่ แต่เขาทำงานกับมัลฟอยนะ ถ้าเป็นเธอจริง ๆ เธอคงไม่ยอมทำแบบนั้นหรอก

ตอนเธอไปเธอโกรธมัลฟอยอย่างกับอะไรดี แล้วอีกอย่างถ้าเป็นเฮอร์ไมโอนี่จริง ๆ

ทำไมเขาถึงไม่มาหาหรือติดต่อเราเลยล่ะ” เมื่อแฮรี่ไม่ตอบ รอนจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง




“เราอย่าเพิ่งคิดอะไรเลยดีกว่า คอยดูกันต่อไปเถอะ” แฮรี่ได้แต่พยักหน้าอย่างจำใจ

แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกคิดเรื่องนี้ง่าย ๆ เพียงแต่เก็บเอาไว้ในใจก่อนเท่านั้น




“แต่ชั้นว่านายควรจะสนใจเรื่องนี้มากกว่านะ

มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของนายเลยนะแฮรี่........เรื่องจินนี่” ได้ผล แฮรี่เลิกสนใจเรื่องรินซี่ไปทันที

และหันมาหาพลางตะครุบตัวรอนเอาไว้ ถามรัวเร็ว




“นายติดต่อจินนี่แล้วใช่มั้ย เค้าหายโกรธชั้นรึยัง ว่าไงรอน นายอย่าชักช้าได้มั้ย”

แฮรี่เขย่าตัวรอนอย่างแรง จนหัวรอนโคลงเคลงไปมา ทำให้รอนต้องสะบัดแฮรี่ออกไป

แล้วขยับเสื้อผ้าอย่างไว้ท่า




“นายอยากรู้เหรอ อืม จะพูดดีมั้ยน้า”

รอนทำท่าเหมือนต้องใช่ความคิดอย่างหนักและเดินเข้าร้านไปอย่างใจเย็น ซึ่งต่างจากแฮรี่ที่กำลังร้อนรน

รีบเดินตามรอนไปอย่างรวดเร็ว “รอน นายจะไปไหน กลับมาคุยกันก่อนดิ๊ เฮ้..รอน”




*-*-*-*-*-*-*-*-*




ตอนที่ 11 ความสงสัยเริ่มก่อตัว




ระหว่างทางที่ทั้งสองคนนั่งรถเพื่อกลับไปทำงานต่อในภาคบ่ายนั้น ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำเดียว

ต่างปล่อยให้ความเงียบที่น่าอึดอัดครอบงำอบอวลอยู่ภายในรถ

จนกระทั่งมัลฟอยเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาถึงสิ่งที่ชายหนุ่มนึกสงสัยอยู่ในใจ




“พวกคุณเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า”




เฮอร์ไมโอนี่หรือรินซี่ซึ่งกำลังปล่อยความคิดเพลิน ๆ สะดุ้งเฮือก

และหันไปมองมัลฟอยอย่างระแวงกับคำถามนั้น จึงยังไม่ตอบทันทีแต่เลี่ยงไปถามเขากลับ




“เอ่อ คุณหมายความว่าไงค่ะ”




“ก็ดูท่าทางทั้งสองคนนั่นเหมือนเคยรู้จักคุณ หรืออาจจะเคยเห็นคุณมาก่อนนะสิ”

มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด

ส่วนรินซี่กลับถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มัลฟอยไม่ได้รู้หรือสงสัยอะไรไปมากกว่านั้น




“ชั้นไม่เคยรู้จักกับทั้งสองคนนั้นมาก่อนหรอกค่ะ

แต่ก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือค่ะที่เราจะรู้สึกคุ้นเคยกับใครสักคนที่เราเพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก

ระ...เอ่อ คุณวิสลี่กับคุณพอตเตอร์คงจะรู้สึกอย่างนั้น”




“งั้นเหรอ งั้นพวกนั้นก็คงรู้สึกเหมือนผม

เพราะตอนผมเจอคุณครั้งแรกผมก็รู้สึกคุ้นเคยกับคุณอย่างประหลาดเหมือนกัน

เหมือนชั้นได้เจอของสำคัญที่ชั้นทำหายไป” ประโยคสุดท้ายมัลฟอยพูดเบา ๆ กับตัวเอง

และแน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ยิน มัลฟอยไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก

ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง จนกระทั่งมาถึงที่ทำงานมัลฟอยอ้อมมาเปิดประตูรถให้เฮอร์ไมโอนี่

แต่ด้วยความเร่งรีบของเฮอร์ไมโอนี่หรือความซุ่มซ่ามก็ไม่อาจคาดเดา

หญิงสาวก้าวขาลงจากรถได้ข้างหนึ่งและกำลังจะก้าวขาอีกข้างตามออกมา

แต่รองเท้าส้นสูงเจ้ากรรมที่หญิงสาวสวมเกิดไปขัดกับขอบประตูด้านล่างทำให้เสียหลักผวาไปข้างหน้า

มัลฟอยยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสัญชาตญาณจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวหญิงสาวไม่ให้ล้ม

แต่อารามตกใจทำให้กะระยะผิดพลาดมือของชายหนุ่มจึงเลยตัวหญิงสาวไปส่งผลให้รินซี่หรือเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาอย

ู่ในอ้อมแขนของมัลฟอยอย่างไม่ตั้งใจ

ริมฝีปากบางของมัลฟอยกระทบกับกระหม่อมกกลมมนของเฮอร์ไมโอนี่พอดิบพอดี อ้อมแขนโอบกระชับแน่นรอบเอวบาง




ทั้งคู่ต่างหยุดนิ่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลาเกือบ 1 นาที

หลังจากรินซี่หายจากความตกใจหญิงสาวจึงสำนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองนั้นยังอยู่ในอ้อมแขนของมัลฟอย

แถมริมฝีปากของเขายังประทับเบา ๆ อยู่ที่หน้าผาก ลมหายใจร้อน ๆ

กระทบใบหน้าส่งผลให้หน้าของเธอกลายเป็นสีชมพูเข้มขึ้นมาทันที หญิงสาวตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

(และคิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ)




ทางด้านมัลฟอยหลังจากป้องกันไม่ให้หญิงสาวต้องลงไปนอนคลุกฝุ่นที่พื้น

จึงรู้ตัวว่าตนเองนั้นกำลังโอบเอวบางของร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน แถมยังจูบ

(เรียกให้ถูกก็คือกระทบโดยไม่ตั้งใจ) หน้าผากหญิงสาวอยู่อีกด้วย

ในความคิดแวบแรกคือถ้าหญิงสาวสามารถทรงตัวอยู่บนพื้นได้แล้วก็ควรปล่อยตัวเธอเสียที

เธอจะได้ไม่หาว่าเขาฉวยโอกาส แต่ในส่วนลึกของหัวใจกลับสั่งเขาไม่ให้ปล่อยเธอไป

และชายหนุ่มก็เชื่อจิตใต้สำนึกเสียด้วย (อาจจะเป็นเพราะความเจ้าชู้เล็ก ๆ ของตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง)

เขาจึงยังโอบคนตัวเล็กและยังประทับริมฝีปากไว้เหมือนเดิม

จนรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนเกิดอาการเกร็งตัวแข็งทื่อไปแล้ว ชายหนุ่มแอบหัวเราะในใจแต่ก็ยังนิ่งอยู่

รอดูว่าสาวจอมพยศคนนี้จะทำไงต่อไป




‘หอมแฮะ เหมือน.............’ ทันทีที่ความคิดนี้หลุดขึ้นสมอง ชายหนุ่มก็ชะงักนึกขึ้นมาได้ว่า

ตอนที่เขาและเฮอร์ไมโอนี่ใกล้ชิดกันครั้งแรก (ยังจำกันได้มั้ยอ่ะ ตอนชนกันน่ะ)

เขาก็ได้กลิ่นแบบนี้มาจากตัวเธอ มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมเพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ใช้น้ำหอม

แต่เป็นกลิ่นที่มาจากผิวกายจริง ๆ ‘เป็นไปไม่ได้ นี่มัน.............’




แต่ก่อนที่มัลฟอยจะมีโอกาสได้คิดไปมากกว่านี้

ชายหนุ่มก็ถูกผลักโดยแรงจากหญิงสาวในอ้อมแขนจนเกือบจะล้มลงไปซะเอง รินซี่ยืนหน้าแดง กำหมัดแน่น

ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งอาย ทั้งโกรธ และหวั่นไหว ใช่แล้ว

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหญิงสาวก็ยังไม่สามารถจะลืมอ้อมกอดนั้นได้เลย อ้อมกอดที่เคยสัมผัส

อ้อมกอดที่คิดถึง




“ทำบ้าอะไรของคุณน่ะ”

กว่าที่เธอจะรวบรวมสติกลับมาได้ก็กินเวลาพอสมควรจนมัลฟอยที่ถูกผลักกระเด็นกลับมายืนได้สง่างามเหมือนเดิม

แล้ว




“ผมทำอะไร”




“ก็....ก็..ทำแบบที่คุณทำเมื่อกี้นี้ไง”




“เมื่อกี้....อืม...ที่ผมช่วยคุณไม่ให้ล้มน่ะนะ มันบ้าตรงไหนกัน”

มัลฟอยรู้ดีว่าหญิงสาวพูดถึงเรื่องอะไร แต่การได้ยั่วเธอก็เป็นความสนุกเล็ก ๆ น้อย ๆ

ผ่อนคลายจากการที่ต้องทำงานหนักเกือบทุกวัน




“ไม่ใช่เรื่องนั้น นี่คุณอย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย

ชั้นรู้นะว่าคุณรู้ว่าชั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” ตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่เริ่มโมโหจริง ๆ แล้ว

ก็มัลฟอยช่างยั่วยวนกวนประสาทได้อย่างร้ายกาจในเวลาที่เธอเองกลับอับอายเช่นนี้




“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะเหรอ ทำไมครับ หรือว่าคุณอยากจะ....อีกครั้ง ได้ จัดห้ายยย”

ไม่พูดเปล่าแต่มัลฟอยยังสืบเท้าเข้ามาหาพร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ ๆ

จนหญิงสาวต้องถอยหลังออกไปสองสามก้าวจนสะดุดเท้าตัวเองเกือบหงายหลัง

และเป็นโชคดีที่มัลฟอยอยู่ใกล้พอที่จะคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ล้มก้นกระแทก

แต่นั่นก็ทำให้เธอกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของมัลฟอยอีกครั้งในท่าที่ฝ่ายหญิงกำลังกึ่ง ๆ หงายหลัง

โดยมีมัลฟอยคว้าเอวเอาไว้และโน้มตัวลงมา คล้ายท่าตอนจบของการเต้นรำ ตาสบตากัน มัลฟอยค่อย ๆ

ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นมาและยังคงโอบเอวเธออยู่ ตายังคงสบกัน

ความรู้สึกบางอย่างรุนแรงอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม มัลฟอยค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาช้า ๆ

ก่อนจะประทับจูบแผ่วเบาที่หน้าผากเหมือนเป็นการหยั่งเชิง เมื่อเห็นหญิงสาวยังนิ่ง

ริมฝีปากบางเฉียบก็ค่อย ๆ ไล่ลงมาที่เปลือกตา ทำให้หญิงสาวต้องหลับตาลง ก่อนจะไล้จมูกเบา ๆ

มาที่แก้มขาวหอมกรุ่น แขนโอบกระชับแน่นขึ้น ลมหายใจร้อน ๆ ทาบลงมาเหนือริมฝีปากอวบอิ่ม

แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกันนั้น รินซี่ก็เริ่มได้สติ

หญิงสาวเบิกตาโพลงอย่างตกใจสะบัดตัวหลุดจากมัลฟอยได้อย่างง่ายดาย

เนื่องจากมัลฟอยกำลังเผลอจึงไม่ทันระวังตัว หญิงสาวรีบถอยไปยืนให้ห่างจากมัลฟอยให้มากที่สุด




“คุณมัน...มัน...พวกฉวยโอกาส” พูดจบรินซี่หรือเฮอร์ไมโอนี่ (โอ๊ย ชักงงแฮะ เดี๋ยวเฮอร์เดี๋ยวริน)

ก็เดินกระแทกเท้าเข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงบ่นพึมพำลอยมาตามสายลมฟังไม่ได้ศัพท์

มัลฟอยมองตามร่างของหญิงสาวด้วยความรู้สึกสับสน ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามเธอไป

แต่ใช้ความคิดอย่างหนักเกี่ยวกับความสงสัยที่เกิดขึ้นมาในใจ ยิ่งได้ใกล้ชิด ความรู้สึกยิ่งรุนแรง

คุ้นเคย มีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นได้




“รินซี่เธอเป็นใครกันแน่.....ชั้นจะต้องหาคำตอบนั้นให้ได้” มัลฟอยตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

ก่อนจะเดินตามเข้าไปในตัวอาคาร




ทางด้านเฮอร์ไมโอนี่หลังจากผละออกมาจากมัลฟอยแล้ว หญิงสาวเดินบ่นมาตลอดทางประมาณว่า ‘หยุดนะ

เฮอร์ไมโอนี่ อย่าไปหลงกับความรู้สึกที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้อีก’ หรือไม่ก็ ‘เขาทำกับเรายังไง

จำไม่ได้เหรอ’ อะไรประมาณนี้

จนกระทั่งมาถึงห้องทำงานก็ยังหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองจนลืมทักตอบเอมมี่ ปล่อยให้เธอมองตามอย่างงง ๆ

กับท่าทีของหญิงสาวผู้มาถึง และมัลฟอยที่ออกไปพร้อมกันหายไปไหน สักพักใหญ่ ๆ

กว่ามัลฟอยจะเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเดินเข้าห้องไปโดยไม่ได้ทักตอบเอมมี่เช่นเดียวกัน

ทำเอาเอมมี่เกาหัวแกร๊ก ๆ งงกับท่าทางของทั้งสองคน




“อะไรของเขาเนี่ย ชั้นว่าชั้นไม่ได้ใช้ผ้าคลุมล่องหนนะ เฮ้อ เซ็ง”




มัลฟอยเดินเข้าไปในห้องหลังจากปิดประตูแล้วชายหนุ่มก็ยังไม่ได้เดินไปนั่งที่โต๊ะประจำในทันที

แต่ยืนมองหญิงสาวที่นั่งทำงานอย่างขยันเป็นพิเศษอยู่ตรงมุมห้องแล้วคิดอะไรบางอย่าง

ก่อนจะเดินไปนั่งที่นั่งของตัวเองโดยที่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่เธอ




ส่วนรินซี่ตั้งแต่ได้ยินเสียงประตูเปิดแล้ว หญิงสาวพยายามทำให้เหมือนตัวเองกำลังทำงานยุ่งวุ่นวายไปหมด

เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยมองหน้าเขาหรือให้เขาไม่ต้องมายุ่งกับเธอ

หญิงสาวแทบจะไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารตรงหน้าเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรให้ทำสักเท่าไหร่

เนื่องจากสิ่งที่ไอค์ทำเอาไว้นั้นเรียบร้อยดีอยู่แล้ว

จะเหลือก็แต่รายงานที่เพิ่งส่งมาใหม่จากสาขาที่ฮาวายที่ยังไม่ได้ตรวจดูเท่านั้น




“เออนี่ ผมขอเอกสารที่เพิ่งส่งมาจากฮาวายหน่อยได้มั้ย ผมอยากตรวจดูอะไรสักหน่อย”

รินซี่สะดุ้งแทบตกเก้าอี้เมื่อได้ยินเสียงมัลฟอย ก่อนจะหยิบเอกสารลุกเดินเอามาให้ชายหนุ่มที่โต๊ะ

และหันหลังกลับทันที




“ขอบคุณ เกรนเจอร์”




หญิงสาวชะงักด้วยความตกใจ แววตาส่อความระแวง ก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่ม ถามเบา ๆ

พยายามจับสังเกตใบหน้าของนายจ้าง




“เมื่อกี้คุณเรียกชั้นว่าอะไรนะ”




“หืม อะไรนะ ผมก็เรียกคุณว่าอาวน์วาซไง นามสกุลของคุณไม่ใช่เหรอ หรือไม่ใช่”

ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มเน้นเสียงหนัก ซึ่งหญิงสาวไม่สามารถคาดเดาความหมายจากน้ำเสียงนั้นได้




“แต่เมื่อกี้ ชั้นได้ยินคุณเรียกชั้นว่า...............” เสียงของหญิงสาวเงียบไป




“เรียกว่าอะไรเหรอครับ” มัลฟอยจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง แต่รินซี่เลือกที่จะไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น

เธอพยายามคิดว่ามัลฟอยอาจจะเผลอไปแค่นั้น ทั้ง ๆ ที่ในใจไม่ได้แน่ใจอย่างนั้นเลย




“ไม่มีอะไรค่ะ ช่างมันเถอะ” หญิงสาวกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง

และเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งตรวจดูเอกสารอย่างใช้ความคิด ‘เขารู้อะไร เขาสงสัยอะไร หรือจริง ๆ

แล้วไม่มีอะไรเลย โอ๊ย อะไรกันแน่นะ’

รินซี่จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงของมัลฟอยที่เรียกอยู่หลายทีจนชายหนุ่มต้องลุกเดินมาหยุ

ดหน้าโต๊ะทำงาน และชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาตรงหน้าหญิงสาว




“เฮ้ คุณ ฟังผมหน่อยได้มั้ย” รินซี่สะดุ้งกับเสียงของชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา

และก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหน้ามัลฟอยอยู่ใกล้เพียงใด ผุดลุกขึ้นยืนเก้ ๆ กัง ๆ จนมัลฟอยอดขำไม่ได้




“นี่คุณผมไม่ใช่เซนทอร์นะ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้”




“เอ่อ ขอโทษค่ะ ชั้นกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่พอดี ว่าแต่คุณเรียกชั้นทำไมค่ะ” หญิงสาวรู้สึกอายเล็ก ๆ

ที่เผลอทำตัวให้ชายหนุ่มหัวเราะเอา




“ครับ คือผมตรวจดูรายงานจากฮาวายแล้วรู้สึกว่าจะมีปัญหานิดหน่อย คงต้องลงไปดู ยังไงคุณเตรียมตัวไว้นะ

อีกวันสองวันเราจะไปด้วยกัน”




“เรา....หมายถึง..........”




“หมายถึงคุณกับผม

และถ้าคุณสงสัยว่าทำไมคุณต้องไปก็เพราะมันเป็นหน้าที่ในส่วนรับผิดชอบของคุณ.......เหมือนที่ไอค์เคยทำ

ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็ออกไปซะ ผมไม่ชอบทำงานกับคนไม่สู้งาน” มัลฟอยจี้จุดอารมณ์ของรินซี่ได้เหมาะเหม็ง

หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นทันที แววตาไม่ยอมแพ้ กล่าวเสียงเรียบ




“คุณพร้อมเมื่อไหร่ ชั้นก็พร้อมเมื่อนั้น”




“ก็ดี อีกสองวันเราจะไปกัน” ทั้งคู่สบตากันแบบไม่มีใครยอมใครและท้าทายกันอยู่ในที




*-*-*-*-*-*-*-*

ตอนที่ 13 การเดินทางกับคนสองคน




หลังจากวันที่มัลฟอยและรินซี่ประกาศสงครามทางสายตากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก็ไม่มีใครพูดคุยอะไรกันอีกเลย ต่างทำเหมือนว่าทั้งห้องนั้นมีตัวเองอยู่เพียงคนเดียว

และในที่สุดกำหนดการเดินทางไปฮาวายของทั้งคู่ก็มาถึง

มัลฟอยจะต้องมารับรินซี่เพื่อเดินทางไปสนามบินด้วยกัน และตอนนี้หญิงสาวก็พร้อมอยู่ในห้องของเธอแล้ว

รอเวลาที่มัลฟอยจะมารับเท่านั้น หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องว่าปิดประตูหน้าต่างดีแล้ว

ปิดแก๊สปิดวาล์วเรียบร้อยหมดแล้ว รวมทั้งเก็บหลักฐานทุกอย่างที่ระบุว่าเธอเป็นใครออกไปจนหมด

หญิงสาวก็เดินมานั่งรอที่โซฟาอย่างกระวนกระวายใจ และผ่านไปสักครู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นหนัก ๆ

เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจเพื่อระบายอารมณ์คุกรุ่นที่เกิดจากการรอที่เสียเวลาไปเปล่า ๆ




“คุณมาช้า” ทันทีที่เปิดประตูและมองดูแล้วว่าคนที่มาเป็นคนที่เธอกำลังรออยู่

หญิงสาวก็เปิดฉากปลดปล่อยอารมณ์คุใส่ฝ่ายชายโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น




“คุณรู้ไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไปไม่ทันเครื่องบิน เวลา...เราจะต้องเสียเวลาไปเปล่า ๆ

แทนที่จะได้ทำงานทำการกัน แล้วก็นะ............”

เฮอร์ไมโอนี่คงจะพูดต่อไปถ้าไม่มีมือหยาบแข็งแรงมาปิดปากเอาไว้




“ถ้าคุณยังพูดไม่หยุดเราจะเสียเวลากันอีกนานเลยแทนที่จะได้ไปกันซะที ไหนล่ะกระเป๋า”

เฮอร์ไมโอนี่ชี้ไปที่กระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่ข้าง ๆ ประตู

มัลฟอยจึงปล่อยมือจากใบหน้าของหญิงสาวมาถือกระเป่าแล้วเดินนำออกไปทันที




“เชอะ อีตาบ้า ตัวเองผิดแท้ ๆ ไม่รู้จักสำนึกซะบ้างเลย” เฮอร์ไมโอนี่บ่นเบา ๆ

ก่อนจะปิดประตูลงกลอนแล้วเดินตามชายหนุ่มไป ทั้งสองคนนั่งรถไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดจาอะไรกัน

เพราะต่างก็อยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง เฮอร์ไมโอนี่ยังคงเคืองมัลฟอยที่มาช้าอยู่

จึงนั่งระงับอารมณ์โทษนกโทษฟ้าโทษคนข้างตัวไปเรื่อย

ส่วนมัลฟอยนั้นกำลังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแพนซี่ (อ๊ะ อย่าคิดมาก

ไม่ใช่แบบน้าน) ชายหนุ่มไปหาแพนซี่ที่บ้านเพราะมีเรื่องขอร้องให้ช่วย………..




………….เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้านของแพนซี่ราว ๆ สามทุ่มเศษ ๆ

เอลฟ์ตัวจ้อยแก่หง่อมประจำบ้านพาร์กินสันค่อย ๆ คืบคลานมาเปิดประตูอย่างช้า ๆ

ซึ่งทุกครั้งที่มัลฟอยมาบ้านนี้ชายหนุ่มต้องสะกดกลั้นอย่างมากที่จะไม่ระเบิดอารมณ์หงุดหงิดใส่มันเนื่องด

้วยความเชื่องช้าจากความชราของมันเป็นเหตุ และในครั้งนี้ก็เช่นกัน นับตั้งแต่ได้ยินเสียงตุ๊บตั๊บ ๆ

ค่อย ๆ ย่างมาแผ่ว ๆ และค่อยชัดขึ้นทีละนิด ๆ จนในที่สุด ‘แกร๊ก’ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น

ทั้งหมดนี้นับตั้งแต่เคาะประตูจนประตูเปิด กินเวลาเกือบ 10 นาที




‘อ้าว เป็นคุณเองหรือเจ้าค่ะ อิชั้นรีบมาเปิดแทบแย่ ถ้ารู้ว่าเป็นคุณอิชั้นจะได้ไม่ต้องรีบมากนัก

เชิญเจ้าค่ะ’ เอลฟ์ชราถอยหลังให้มัลฟอยที่นั่งอยู่ที่ตีนบันไดก่อนหน้าที่ประตูจะเปิดเดินเข้าไปในบ้าน

โดยไม่ได้ยินเสียงบ่นประชดประชันของมัลฟอย เพราะมันหูตึง




‘นี่รีบแล้วเหรอเนี่ย ชั้นเกือบหลับกลิ้งตกบันไดไปแล้วนะ’




‘เดี๋ยวอิชั้นจะไปตามคุณหนูมาพบนะเจ้าค่ะ’ แต่ก่อนที่เอลฟ์น้อยจะเดินไป มัลฟอยก็คว้าแขนมันไว้

(เพราะเรียกก็คงไม่ได้ยิน)




‘ไม่ต้อง ชั้นไปเองเร็วกว่า’




‘แหม คุณนี่ช่างเป็นคนดีจริง ๆ ห่วงไม่อยากให้อิชั้นรีบเดินเพราะกลัวหกล้ม

อิชั้นก็ไม่รีบเดินอยู่แล้วเจ้าค่ะไม่ต้องห่วงนะเจ้าค่ะ’ ไม่พูดเปล่าเอลฟ์ตัวน้อยยังตบเบา ๆ

ที่หลังมือมัลฟอยที่คว้าแขนเอลฟ์เอาไว้แน่น เล่นเอามัลฟอยเหวอไปครู่

ก่อนจะปล่อยให้มันเดินต้วมเตี้ยมจากไป แต่โชคยังเข้าข้างเขา เพราะแพนซี่เดินเข้ามาในห้องโถงพอดี




‘ใครมาน่ะ เอล่า อ้าว เดรโก ชั้นได้ยินเสียงเคาะประตูตั้งนานแล้ว

เธอมัวทำอะไรอยู่ไม่ยอมเข้ามาสักที’




‘ชั้น...........ช่างเถอะ ชั้นมีเรื่องให้เธอช่วยหน่อย’

มัลฟอยตั้งท่าจะเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเสียเวลาอยู่หน้าประตู แต่เมื่อมาคิด ๆ

ดูแล้วมันยิ่งทำให้เสียเวลาเปล่า ๆ และคงไม่ทำให้เอลฟ์แก่ ๆ ตนนี้สามารถเดินได้เร็วไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ชายหนุ่มจึงปล่อยให้มันผ่านไป และหันมาพูดเรื่องสำคัญแทน




‘งั้นนั่งก่อนสิ.............แล้วมีเรื่องอะไรเหรอ ถึงมาถึงที่นี่ได้’

มัลฟอยยื่นม้วนกระดาษประวัติของรินซี่ให้กับแพนซี่ซึ่งรับมาเปิดดูคร่าว ๆ

อย่างสนใจก่อนจะเดินมานั่งฝั่งตรงกันข้าม




‘ชั้นอยากให้เธอช่วยสืบประวัติคน ๆ นึงให้ชั้นหน่อย

เธอน่าจะช่วยได้เพราะอาชีพเธอมันมีโอกาสหาข้อมูลได้ลึกกว่าคนอื่น’




‘แต่เท่าที่ดูมันก็มีครบหมดแล้วนี่ที่เธอควรจะรู้ ละเอียดซะด้วย’

สายตาของหญิงสาวไล่ไปทีละบรรทัดด้วยความทึ่งกับข้อมูลที่เห็น




‘ละเอียดเกินไป ชั้นสงสัยว่ามันจะเป็นประวัติที่ถูกตกแต่งขึ้น

ชั้นอยากให้เธอสืบดูว่าทั้งหมดมันเป็นของจริงหรือเปล่า เธอทำได้ใช่มั้ย’




‘ไม่มีปัญหา แต่ชั้นขอถามหน่อยได้มั้ย ว่าทำไมเธอถึงสนใจยัยรินซี่อะไรเนี่ยจังเลย

มีอะไรที่เธอยังไม่ได้บอกชั้นใช่มั้ย’ แพนซี่จ้องหน้าเพื่อนด้วยสายตารู้ทัน




‘มันยังไม่ถึงเวลา แพนซี่..........แล้วก็ชั้นจะไม่อยู่สักอาทิตย์นะ ถ้าเธอได้ข้อมูลอะไรโทรหาชั้น

อ่ะนี่ โทรศัพท์มือถือ วิธีใช้ชั้นเขียนบอกไว้ให้หมดแล้ว’ ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องเล็ก

ๆ ส่งให้ ซึ่งหญิงสาวก็รับมาด้วยความงงงวย เนื่องจากใช้ไม่เป็น




‘แล้วชั้นจะติดต่อเธอได้จากในสิ่งเล็ก ๆ นี่น่ะนะ เอ้า ลองดูก็ได้ ว่าแต่เธอจะไปไหนเหรอ’




‘ชั้นต้องไปฮาวายที่นั่นมีปัญหานิดหน่อยน่ะ ชั้นต้องไปล่ะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า’

มัลฟอยลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตู โดยมีแพนซี่ตามมาส่ง

หญิงสาวมองออกไปนอกประตูบ้านแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัย




‘เธอมายังไงน่ะ เดรโก ชั้นไม่เห็นรถเธอเลย’




‘ชั้นมาด้วยไอ้นั่น’ แล้วชายหนุ่มก็ชี้ไปที่สิ่งผอม ๆ ยาว ๆ ที่วางพาดอยู่ที่เสาต้นแรกตรงตีนบันได




‘เชื่อเขาเลย นิมบัส มันเก่าขนาดนี้แล้วยังขี่มาถึงนี้ได้อีกนะ’

แพนซี่ส่ายหัวไปมากับความไม่รู้จักโตของชายหนุ่ม ‘ชั้นสงสัยว่ามันจะพาเธอกลับไปถึงบ้านรึเปล่าเดรโก’




‘ไม่ต้องห่วงแพนซี่ ถึงแน่นอน’ ชายหนุ่มพาดขาคร่อมไม้กวาดคู่ใจในอดีต

และก่อนที่จะถีบตัวขึ้นสัมผัสอากาศเย็นบนท้องฟ้า เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ‘อ้อ

ถ้าเธอสงสัยวิธีการใช้โทรศัพท์นะ ไปถามวิสลี่ดูสิ รายนั้นใช้บ่อยจนชำนาญแล้ว’

พูดจบก็ถีบเท้าลอยปรู๊ดปร๊าดจากไป




‘แล้วทำไมต้องยุ่งกับอีตานั่นด้วยล่ะ ชั้นทำเองได้ย่ะ’

ถึงจะบ่นแต่หญิงสาวก็อมยิ้มเมื่อนึกไปถึงผู้ชายผมแดงท่าทางกวนประสาทคนนั้น...............




.............มัลฟอยนึกมาถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็อดขำขึ้นมาไม่ได้

ก็หลังจากที่เขาลอยขึ้นมาจากบ้านพาร์กินสันแล้วนั้น แรก ๆ ไม้กวาดของเขาก็ยังแล่นไปด้วยดี

จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านเขาอยู่แล้ว นิมบัสของเขาเกิดอาการกระตุกขึ้นมาซะเฉย ๆ แล้วหยุดบินขึ้นมาดื้อ ๆ

ส่งผลให้เขาหล่นตุ๊บลงมาบนพื้นหญ้าที่ตีนเขาของคฤหาสน์มัลฟอย

โชคดีที่เขาลอยอยู่เหนือพื้นดินแค่เมตรกว่า ๆ เท่านั้นไม่อย่างนั้นเขาคงได้ไปนอนที่เซนต์มังโกเป็นแน่

และเขาต้องใช้เวลาเดิน ๆ ปีน ๆ อยู่เกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะขึ้นมาถึงประตูรั้วได้

และต้องเดินอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงประตูบ้าน กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามารับรินซี่ช้ากว่าที่นัดกันไว้

เขาตกใจแค่ไหนเมื่อตื่นมาพบว่ามีเวลาไม่ถึงชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัวและไปรับเพื่อนร่วมงาน

แถมยังบวกอาการปวดเนื้อปวดตัวจากการตกไม้กวาดเมื่อคืนร่วมด้วยอีก

ทำให้เขาไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาวที่เปิดประตูมาฉอด ๆ ใส่หน้าทันที

คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ยิ่งขำกับท่าทางของหญิงสาวเมื่อเช้า




และเมื่อมัลฟอยเริ่มหัวเราะหึหึ เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มมองตาขวาง ‘ไม่สำนึกแล้วยังมาหัวเราะเยาะกันอีก

อีตาบ้า’ อารมณ์ที่เริ่มเย็นกลับมาคุกรุ่นอีกแล้ว และในที่สุดก็ทนไม่ไหว




“นี่คุณหัวเราะอะไรฮ่ะ มีอะไรน่าขำนักรึไง”




“ทำไมผมต้องบอกคุณล่ะ เรื่องที่มันอยู่ในใจมันก็สมควรจะอยู่ในใจต่อไป

นอกจากว่าคุณอยากจะเข้ามาอยู่ในใจของผมด้วย นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง หึหึ” มัลฟอยยังคงยิ้มกวน ๆ

ต่อไปโดยมีหญิงสาวอีกคนนั่งกัดฟันอยากจะเอามือไปเขกกบาลกลม ๆ สักทีสองที ในที่สุดก็มาถึงสนามบิน

หลังจากที่จัดการตามระเบียบขั้นตอนของสนามบินเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องโถงผู้โดยสารขาอ

อก (เรียกงี้ป่ะจำไม่ได้) ต่างคนต่างนั่งถึงแม้จะไม่ไกลกันนักแต่ก็ไม่สามารถคุยกันแบบธรรมดาได้

สักพักมัลฟอยก็ลุกขึ้นเดินออกไป โดยมีสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองตามด้วยความสงสัย

จนกระทั่งมัลฟอยไปหยุดยืนที่บู้ทกาแฟเล็ก ๆ

ที่มาตั้งขายเพื่อให้ผู้โดยสารได้นั่งคุยพักผ่อนดื่มกินอาหารและของว่างระหว่างรอเครื่องออก




“เชอะ ไม่ถามสักคำเป็นสุภาพบุรุษมาก ๆ เลยนะนายเนี่ย” เฮอร์ไมโอนี่ค้อนวงใหญ่ไปถึงชายหนุ่มที่อยู่ไกล

ๆ คนนั้น ก่อนจะกลับมาสนใจผู้คนรอบตัวและเริ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน

ระหว่างที่เพลิดเพลินกับการอ่านหนังสืออยู่นั้นแก้วกาแฟเย็นเล็ก ๆ

ใบหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้าขวางระหว่างเธอกับหนังสือ

ใกล้ขนาดที่ว่าหญิงสาวสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากแก้ว

หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ยืนอยู่ข้างกายเธอด้วยความประหลาดใจ




“กาแฟเย็น โทษทีที่ไม่ถาม แต่คุณคงไม่ว่าหรอกใช่มั้ย” หญิงสาวรับแก้วมาถืออย่างง ๆ

กับท่าทีของชายหนุ่ม ซึ่งบางทีก็ดูอารมณ์ดีแต่สักพักก็กลับไปเงียบขรึมครุ่นคิดเดาใจลำบาก




หลังจากส่งแก้วให้กับหญิงสาวแล้วมัลฟอยก็เดินมานั่งฝั่งตรงกันข้ามและตอนนี้เขาก็เลือกที่จะอยู่ในโหมดครุ

่นคิด เฮอร์ไมโอนี่เหลือบมองดูมัลฟอยเป็นระยะ ๆ

ความอยากรู้อยากเห็นที่มีในตัวเสมอทำให้หญิงสาวไม่อาจตัดใจอ่านหนังสือต่อไปได้

เธออยากรู้ว่าอะไรทำให้เขาเป็นเช่นนี้ และตอนนี้ในสมองเขากำลังคิดอะไรอยู่

จะมีเรื่องของเธอที่เป็นอดีตของเขาบ้างหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด




ในที่สุดเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่สาวเสียงหวานก็ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่ต้องการไปฮาวายมาที่ประตูหมา

ยเลข 65 เพื่อเดินทางเข้าสู่ตัวเครื่อง ทั้งมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่เดินตามกันมาช้า ๆ

จนกระทั่งเข้าไปในตัวเครื่องและตรงไปยังที่นั่งชั้นนักธุรกิจที่เอมมี่เลขาจองเอาไว้ให้

เฮอร์ไมโอนี่ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง ถัดมาคือมัลฟอย หญิงสาวดูจะสนใจกับทุกสิ่งรอบตัวอย่างมาก

เพราะถึงแม้เธอจะเคยเดินทางด้วยเครื่องบินอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่บ่อยนักที่เธอจะได้นั่งชั้นนักธุรกิจ

หญิงสาวหยิบนู่นหยิบนี่มาดูให้วุ่นวายไปหมดจนมัลฟอยชักทนไม่ไหว




“นี่แม่คุณ ใจคอจะรอให้เครื่องออกไม่ได้รึไงฮะ ทำยังกับไม่เคยขึ้นเครื่องบิน” ได้ฟังดังนั้น

หญิงสาวก็หันขวับมาทันที




“ชั้นเคยขึ้น แล้วมันก็เรื่องของชั้นที่จะทำอะไรก็ได้ ถ้าคุณไม่ชอบคุณก็อย่ามองสิ”




“เชอะ...ถึงไม่อยากมองก็คงทำไม่ได้หรอก เล่นเสียงดังทำตัวยุกยิกขนาดนั้น” มัลฟอยบ่นเบา ๆ

แต่ไม่เกินกำลังความสามารถของเฮอร์ไมโอนี่ที่จะได้ยิน




“นี่คุณจะชวนทะเลาะรึไงกัน อย่าดีกว่า คุณไม่มีทางชนะชั้นหรอก” หญิงสาวเชิดหน้าอย่างท้าทาย

ซึ่งทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่กล่าวจบ เธอก็รู้ตัวว่าทำพลาดไป เพราะมัลฟอยเอี้ยวตัวมาทางฝั่งของเธอทันที

เอามือมาวางพาดที่วางแขนอีกข้างที่อยู่ไกลตัว

ทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้หญิงสาวตกอยู่ในวงแขนของมัลฟอยไปโดยปริยาย ไม่มีทางหนีได้เลย




“แน่ใจเหรอครับว่าผมไม่มีทางชนะคุณ คิดผิดคิดใหม่ได้นะรับคุณรินซี่”

ชายหนุ่มจ้องตาหญิงสาวจนเธอต้องหลบสายตาคมกล้า มัลฟอยค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไปช้า ๆ ลมหายใจแผ่ว ๆ

กระทบเหนือริมฝีปากหญิงสาว เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น..

แต่ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะแตะกันนั้น เสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น




“เอ่อ ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะค่ะ แต่คุณผู้ชายต้องรัดเข็มขัดและนั่งพิงพนักเก้าอี้แล้วค่ะ

เครื่องจะออกแล้ว”




ทั้งสองผละออกจากกัน มองแอร์โฮสเตรสสาวที่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่ดวงตาระยิบระยับเหมือนล้อ ๆ

คนทั้งคู่ เกิดริ้วแดง ๆ ขึ้นบนใบหน้าของมัลฟอย ชายหนุ่มเกาจมูกแก้ขวย

ส่วนเฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว ทั้งโกรธทั้งอาย




ก่อนที่แอร์สาวคนเดิมจะเดินจากไป ยังหันกลับมาบอกมัลฟอยอีกครั้งว่า




“อ่อ..อย่าเพิ่งลุกหรือทำ.........อะไรระหว่างที่สัญญาณไฟยังไม่ดับนะค่ะ มันอันตราย”

พูดจบแอร์สาวก็ทิ้งให้ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองนั่งประดักประเดิกกันต่อไป




*-*-*-*-*-*-*-*

ตอนที่ 14 ฮาวาย




ในที่สุดเวลาแห่งการเดินทางที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง

เมื่อล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ของสนามบินนานาชาติฮอนโนลูลู

มลรัฐฮาวายเป็นที่เรียบร้อยผู้โดยสารต่างพากันทยอยลงจากเครื่องบินรวมทั้งคู่รักคู่กัด ‘มัลฟอยและรินซี่

(เฮอร์ไมโอนี่)’ ด้วย ฝ่ายชายเดินนำมาก่อนด้วยท่าทางสดชื่นเหมือนคนได้พักผ่อนเต็มที่

ก็แน่ล่ะเวลาเกือบ 10 ชั่วโมงบนเครื่องบินมัลฟอยเอาแต่นอน นอน นอน และนอน

จะมีบ้างที่ตื่นมาเพื่อทานอาหาร 2 มื้อ กับของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

ส่วนเฮอร์ไมโอนี่หลังจากเหตุการณ์น่าอับอายบนเครื่องบินแล้ว หญิงสาวก็เอาแต่ระวังตัว

และทุกครั้งที่มัลฟอยขยับตัวหรือเปลี่ยนท่านั่ง (นอน) เฮอร์ไมโอนี่เป็นต้องสะดุ้งสุดตัวทุกที

ทำให้เธอไม่มีเวลาพักผ่อน และมันก็แสดงออกมาทางสีหน้าของเธอจนมัลฟอยสังเกตได้




“นี่คุณไม่ได้นอนเลยหรือไงกัน คุณอาวน์วาซ ตาดำปิ้ดปี๋เป็นหมีแพนด้าเชียว”

ไม่พูดเปล่ามัลฟอยยังจิ้มที่โหนกแก้มของเฮอร์ไมโอนี่แล้วหัวเราะเสียงดัง

โดยไม่สนใจหญิงสาวที่หน้าเริ่มบูดขึ้นทุกที

เสียงหัวเราะของมัลฟอยเรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้ไม่น้อย เฮอร์ไมโอนี่ปัดมือของมัลฟอยออกไป




“อย่ามายุ่งน่า คุณจะมาเข้าใจอะไรล่ะ เชอะ” ค้อนให้ชายหนุ่มวงใหญ่ ๆ

ก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าไปต่อคิวที่ช่องผู้โดยสารขาเข้าด้วยความหงุดหงิดผสมกับความอ่อนเพลีย

โดยมีมัลฟอยอมยิ้มตามหลังไปอย่างอารมณ์ดี (ก็แหงล่ะนอนเต็มที่เลยนี่นา)




หลังจากผ่านพิธีการยุ่งยากในการตรวจสอบผู้โดยสารของทางสนามบินแล้วเดินมารับกระเป๋าของตัวเองเรียบร้อย

ทั้งสองคนก็เดินออกมาทางช่องรอรับผู้โดยสาร (ขออภัยถ้าผิดพลาด ไม่รู้จริงๆ)




“คุณมัลฟอยทางนี่ครับ!!”

เสียงผู้ชายดังมาก่อนที่เขาคนนั้นจะสามารถแหวกฝูงผู้มารอรับเข้ามาหาเจ้าของชื่อได้

พร้อมรับกระเป๋าจากมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ “การเดินทางเรียบร้อยดีนะครับ

ผมเตรียมรถและบอกให้เอลฟ์ทำความสะอาดบ้านพักไว้รอคุณกับคุณผู้หญิงเรียบร้อยแล้วครับ”




“ขอบใจ พีท” มัลฟอยเดินนำไปที่ประตูทางออกที่พีทชี้ว่ารถจอดอยู่ตรงไหน

“เดี๋ยวนายเอากระเป๋าไปเก็บที่บ้านแล้วตามเราไปที่บริษัทเลยนะ” มัลฟอยสั่งพีทผู้เป็นหัวหน้าสาขาทางนี้

แต่ก่อนที่พีทจะเดินจากไป เขาหันมากระซิบกับมัลฟอยพอให้ได้ยินเพียงสองคน




“ผมสงสัยอะไรอย่างครับ คุณมัลฟอย”




“ว่ามาสิ” มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างสงสัย




“ทำไมคุณถึงไม่หายตัวมา หรือว่าใช้ผงฟลูล่ะครับ ง่ายกว่า สะดวก และก็ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมง ๆ

แบบนี้ด้วย” ใบหน้าพีทเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เมื่อผู้เป็นเจ้านายได้ยินก็เพียงยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก

ก่อนจะตบท้ายด้วยคำคมเฉือนใจ




“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลให้กับทุกการกระทำไม่ใช่เหรอพีท นายไปได้แล้ว ถ้านายสงสัยมากกว่านี้

ชั้นจะให้นายไปสงสัยในเล้าหมูกับหมูตัวเมียหุ่นเซ็กซี่สักตัวดีมั้ย ไป”




มัลฟอยสำทับก่อนจะทำหน้าเ***้ยม

ทำเอาพีทรีบตะลีตะลานหิ้วกระเป๋าของทั้งมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่จากไปเพื่อที่จะขึ้นรถของตัวเองซึ่งจอดอยู่

ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว (ก็แหม ถ้าเลือกได้ใครจะอยากไปอยู่กับหมูล่ะ)

เมื่อพีทจากไปแล้วเฮอร์ไมโอนี่ (หรือรินซี่) จึงได้เปิดปากขึ้นอีกครั้ง




“นี่ คุณจะไปทำงานทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงเนี่ยนะ” เฮอร์ไมโอนี่เสียงแหว ทั้ง ๆ

ที่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนถึงความอ่อนเพลีย




“ก็ใช่น่ะสิ นี่คุณมันเพิ่งจะแปดโมงเช้าเองนะ

ชาวบ้านเขาต้องทำงานกันไม่มีเวลามานั่งอู้ได้ทั้งวันเหมือนคุณหรอก”




“ชั้นไม่ได้อู้ แต่เราเพิ่งมาถึง และตอนนี้ที่ลอนดอนมันเกือบ ๆ จะทุ่มอยู่แล้ว

คุณไม่รู้สึกอะไรมั่งหรือไง”




“อืม..ไม่นี่ ก็..สบายดี” ก่อนหรี่ตามองหญิงสาวอย่างเจ้าเล่ห์ “หรือว่าคุณไม่พร้อม ก็..ไม่เป็นไรนะ

ถ้าคุณไม่ไหว ต้องการพัก ผมไปทำงานคนเดียวก่อนก็ได้”

มัลฟอยแกล้งพูดยั่วด้วยเดานิสัยกันออกว่าหญิงสาวผู้นี้คงไม่ต่างจากหญิงสาว ‘คนหนึ่ง’

ที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกหรือสบประมาณแน่นอน (ซึ่งมัลฟอยยังคิดว่ามันเหมือนกันเกินไปด้วยซ้ำ)

ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ตกหลุมที่ชายหนุ่มขุดไว้เต็ม ๆ




“ใครกันไม่ไหว แค่เนี่ย สบายอยู่แล้ว” พูดจบหญิงสาวก็เชิดหน้าขึ้น

พร้อมกับเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งด้วยท่วงท่าราวนางพญา ก่อนกระแทกประทูปิดดังปังใหญ่

‘ใครจะไปยอมให้นายมาดูถูกกันมัลฟอย แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว’ ก่อนจะเอื้อมมือว่าบีบแตรรถ 2 ที

เพื่อเรียกให้มัลฟอยที่กำลังยิ้มกับลมกับฟ้าอยู่คนเดียวให้รีบขึ้นรถสักที

ซึ่งมัลฟอยแค่เพียงเอี้ยวตัวมามองหญิงสาวผ่านทางกระจกหน้ารถแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถามว่า

‘ต้องการอะไรครับคุณผู้หญิง’ และเฮอร์ไมโอนี่เองก็เข้าใจท่าทางนั้นดีจึงชี้มาที่ที่นั่งว่าง ๆ ข้างตัว

เป็นเชิงว่า ‘เชิญเสด็จมาขึ้นรถได้แล้วย่ะ’ ชายหนุ่มแค่ยิ้มแล้วยอมเปิดประตูขึ้นนั่งแต่โดยดี

เพราะยังไม่อยากให้หญิงสาวข้างตัวโมโหจนเป็นลมไปซะก่อน และขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว




เป้าหมายแรกที่ชายหนุ่มจะพาหญิงสาวไป ก็คือบริษัทของมัลฟอยซึ่งมาเปิดสาขาย่อยที่ฮาวาย จริง ๆ

แล้วทั้งคู่ยังไม่จำเป็นจะต้องมาที่นี่ในวันนี้ก็ได้

แต่มัลฟอยต้องการแกล้งหญิงสาวที่นั่งเชิดคอแข็งอยู่ข้างตัวเท่านั้นเอง พอรถมาจอดที่หน้าบริษัท

ทั้งคู่ก็ได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกจากพนักงานต้อนรับ นำโดย ‘พีท’ (โห มาเร็วมาก ๆ)

และพนักงานมักเกิ้ลอื่น ๆ ส่วนมากจะเป็นสาว ๆ ที่มารอดูเจ้านายสุดหล่อตัวเป็น ๆ

ที่เคยแต่ได้เห็นแค่ในรูปใหญ่ยักษ์ที่ติดอยู่หน้าบริษัทเท่านั้น

และเมื่อมัลฟอยกวาดสายตาเจ้าเสน่ห์ไปทางไหน สาว ๆ

ที่อยู่ทางนั้นก็แทบจะละลายลงไปกองอยู่กับพื้นกันทีเดียว

ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ถึงกับถอนหายใจอย่างหมั่นไส้




“เชิญครับ คุณมัลฟอย คุณอาวน์วาซ” พีทเข้ามาเชื้อเชิญให้มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่เข้าไปข้างใน

ก่อนหันไปบอกพนักงาน(สาว ๆ) ด้วยเสียงดังฟังชัด




“เอ้า ไม่มีงานมีการทำกันหรือไง ไปทำงานกันได้แล้ว เฮ้อ จริง ๆ เลยพวกนี้ ทางนี้ครับ

เดี๋ยวผมจะพาคุณสองคนไปที่ห้องทำงานก่อนดีมั้ยครับ”




“ไม่ต้องหรอกพีท เสียเวลา พาเราไปชมบริษัทเลยดีกว่า อ้อ..คงไหวนะครับคุณอาวน์วาซ หรือคุณอยากพัก...”

ชายหนุ่มแสร้งทำท่าทางเป็นห่วงเป็นใยอย่างเกินกว่าความจำเป็นไปสักหน่อย เฮอร์ไมโอนี่ได้แต่กัดฟันตอบ




“สบายมากเลยค่ะ ไม่ต้อง(แสร้งทำ)เป็นห่วงหรอกค่ะ” พร้อมกับยิ้มหวานอย่างชนิดที่เรียกว่า หวานเลี่ยน

ทั้งสองคนจ้องตากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร

จนพีทที่เป็นคนกลางเกรงว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้นจึงรีบไกล่เกลี่ย




“เอ่อ..เรารีบไปกันดีมั้ยครับ คุณมัลฟอย คุณอาวน์วาซ”




“นำไปสิ” มัลฟอยเป็นฝ่ายที่ยอมเลิกราก่อน เพราะยังมีเวลาในการต่อสู้กันอีก 1 สัปดาห์

ก่อนที่ทั้งเขาและเธอจะต้องเดินทางกลับ มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาทั้งวันอยู่ในบริษัท

จนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ ที่มัลฟอยสังเกตเห็นความอ่อนล้าปรากฏบนสีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่

แม้ว่าเธอจะยังทำท่าราวกับแข็งแรงทุกครั้งที่มัลฟอยหันไปมอง




‘วันนี้พอแค่นี้ก่อนล่ะกัน เดี๋ยวไม่สบายไปจะยุ่ง’ มัลฟอยคิดในใจ




“เอาล่ะพีท วันนี้เราพอแค่นี้แหละ เดี๋ยวผมจะพาคุณอาวน์วาซกลับบ้านล่ะ ถ้ามีอะไรด่วนก็ติดต่อมาล่ะกัน”







“ครับคุณมัลฟอย แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

พีทเดินมาส่งมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นรถและมองจนกระทั่งทั้งสองลับสายตาไป ก่อนจะเดินกลับเข้าบริษัทไป




ทางด้านมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่หลังจากที่นั่งมาในรถได้สักพัก มัลฟอยก็พูดขึ้นทั้ง ๆ

ที่สายตายังคงจ้องมองถนนเบื้องหน้า




“เป็นไงมั่งคุณ ผมยังไม่ได้ให้คุณดูเอกสารที่มีปัญหา เพราะคิดว่าเรายังพอมีเวลา

คุณเองก็คงไม่รีบร้อนอยากจะดูหรอกใช่มั้ยล่ะ”




เงียบ!!!




“นี่คุณจะไม่พูดกับผมหน่อยหรือไง หรือว่าหมดแรง แต่ก็น่าล่ะนะ นี่ก็เกือบ 24 ชั่วโมงแล้วนี่

ที่คุณยังไม่ได้นอนเลย ผมบอกแล้วถ้าคุณไม่ไหวก็ให้ไปพักก่อน เดี๋ยวผมไปคนเดียวก็ได้”




มัลฟอยตั้งใจจะพูดยั่วให้หญิงสาวโกธรและตอบโต้เหมือนเคยแต่ผลที่ได้คือความเงียบเท่านั้น

มัลฟอยหันกลับไปดูก็พบว่าหญิงสาวนั่งคอพับคออ่อน ไม่รู้เรื่องมาตั้งนานแล้ว

ซึ่งสามารถเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้อย่างมาก




“นี่ล่ะน้า ทำเป็นเก่ง”




มัลฟอยรำพึงกับตัวเองก่อนจะขับรถต่อไปเพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านพักตากอากาศของตระกูลมัลฟอย

จนกระทั่งรถยนต์คันหรูก็ได้มาจอดเทียบหน้าบันไดบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่

แต่หญิงสาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว มัลฟอยจึงขยับหันไปมองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ตรง ๆ ใบหน้าด้านข้าง

เปลือกตาบางแก้มนวลใส ริมฝีปากอิ่ม




“เธอเป็นใครกันแน่นะ” สีหน้าของเขาค่อนข้างสับสน มือแข็งแกร่งไล้ไปตามใบหน้างดงามนั้น

แต่สิ่งที่เขามองเห็นกลับเป็นใบหน้าของคนอีกคนหนึ่ง




“เป็นเธอหรือเปล่า เฮร์ไมโอนี่ หรือชั้นมันบ้าไปเอง” สิ่งนี้คือสิ่งที่มันมักจะแวบผ่านมาเสมอ ๆ

เวลาที่เขาเผลอ หรือปล่อยใจล่องลอย เขาได้แต่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า




‘ป่านนี้แพนซี่จะได้ข้อมูลอะไรบ้างนะเนี่ย’

ชายหนุ่มคิดถึงเพื่อนสนิทขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะกระจกเบา ๆ

ทางด้านคนขับทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปดู และก็พยักหน้าเมื่อเห็นว่าเป็นเอลฟ์รับใช้ประจำบ้านพักแห่งนี้

ชายหนุ่มจึงได้ลงจากรถ




“นายน้อย นายน้อยโตขึ้นมากเลยนะเจ้าค่ะ แถมหล่อด้วยสิ อิชั้นคิดถึงนายน้อยจังเจ้าค่ะ”

ว่าแล้วน้ำตาเม็ดกลม ๆ ก็ไหลลงมาอาบแก้มเอลฟ์ตัวน้อย ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ




“พอ ๆๆ เถอะ ชั้นเหนื่อยมากแล้วสำหรับวันนี้ เตรียมห้องไว้แล้วใช่มั้ย” เอลฟ์น้อยพยักหน้ารับ

ในขณะที่ยังเช็ดน้ำตาป้อย ๆ มัลฟอยจึงเดินอ้อมไปทางฝั่งที่หญิงสาวคนหนึ่งนั่ง(หลับ)อยู่ และเปิดประตูเบา

ๆ ก่อนจะสะกิดเฮอร์ไมโอนี่ให้ตื่น แต่ไม่ว่ายังไงหญิงสาวก็ไม่ยอมตื่น

ทำเพียงแค่ขยับตัวหนีนิ้วมือที่สะกิดตัวเองเท่านั้น




“ขี้เซาด้วยเหรอเนี่ย เฮ้อออ” ในที่สุดมัลฟอยก็ตัดสินใจอุ้มหญิงสาวขึ้นมา

ก่อนจะสั่งให้เอลฟ์ที่ยืนตาโตองดูนายน้อยอุ้มหญิงสาวแปลกหน้าให้ปิดประตูรถ

และเปิดประตูบ้านพานำไปที่ห้องพัก เมื่อมาถึงมัลฟอย ๆ ค่อย ๆ

บรรจงวางหญิงสาวลงบนเตียงก่อนจะห่มผ้าให้อย่างแผ่วเบา และหันไปพูดกับเอลฟ์ที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ




“ชาช่า ชั้นหิว” สั้น ๆ ห้วน ๆ บอกอารมณ์ของเจ้านายเป็นอย่างดี

ชาช่าน้อยจึงรีบวิ่งตื้อจากไปเพื่อเตรียมของว่างให้นายก่อนที่พายุจะลงฮาวาย

เมื่อเอลฟ์น้อยออกไปแล้วมัลฟอยจึงหันมามองหญิงสาวร่างบางบนเตียงอีกครั้ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ก่อนก้มลงจูบหน้าผากหญิงสาวเบา ๆ และเดินออกจากห้องไป




*-*-*-*-*-*-*-*-*




(ขอแวบดูหนูแพนซี่ของดิชั้นนิดนึงนะค่ะ แบบว่าพ่อฝอยพูดถึงด้วยไง)

ด้วยความเป็นนักข่าวมืออาชีพ การซอกแซกหาข้อมูลเป็นเรื่องที่เธอถนัดอยู่แล้ว

(ถนัดมาตั้งกะสมัยเรียนแล้วล่ะ) ในเวลาเพียงวันเดียว นักข่าวสาวก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจมาก ๆ มา

แต่เธอมีปัญหาตรงที่ไม่รู้จะติดต่อมัลฟอยได้ยังไง เพราะมือถือที่มัลฟอยให้เธอมาพร้อมวิธีใช้นั่น

เธอลองทำดูแล้ว แต่มันไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย ก็เหลือวิธีสุดท้ายเท่านั้น




“โอ๊ยย นี่ชั้นต้องไปขอร้องเจ้าคนลามกนั่นอีกแล้วหรือไงนะ เอาเถอะ ยังไง ๆ

ก็ต้องไปสัมภาษณ์เจ้านั่นอยู่แล้วนี่นา”




(เสียงรอนลอยมาตามลม “เธอเสร็จชั้นแน่แพนซี่ ฮ่ะฮ่ะฮ่า”

แพนซี่ “เอ๊ะ ทำไมชั้นรู้สึกเสียวสันหลังกันนะ)




*-*-*-*-*-*-*-*

บทที่ 15 ตัวตนเริ่มปรากฎ




เช้าที่สดใสวันแรกในต่างแดนของมัลฟอย (ไม่นับวันที่มาถึงนะ)

ชายหนุ่มผมบรอนซ์เงางามคนนี้กำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ที่บริเวณลานหลังบ้านพักหลังมหึมาติดชายหาดท

ี่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของฮาวาย จากตัวลานที่ชายหนุ่มนั่งอยู่นี้มีบันไดเตี้ย ๆ

ทอดยาวลงสู่ชายหาดที่เงียบสงบปราศจากผู้คน เพราะรอบ ๆ

บริเวณนี้ไม่มีบ้านเรือนของใครอาศัยอยู่สักหลังเดียว

ทำให้ชายหาดที่นี่ยังคงความบริสุทธิ์งดงามอย่างที่มันควรจะเป็น




เวลานี้มัลฟอยกำลังรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่ง ‘อะไร’ ที่ชายหนุ่มรู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

และแล้วในที่สุดมันก็ค่อย ๆ เกิดขึ้น เสียงเดินลงส้นหนัก ๆ เหมือนคนกำลังวิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ค่อย ๆ

ใกล้เข้ามา ๆ จนในที่สุดเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม

ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้หันไปดูว่าเป็นใคร

คนลึกลับก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่ของเขาพร้อมออกแรงกระชากเพื่อให้มัลฟอยหันมา

แต่เป็นเพราะมัลฟอยนั่งอยู่บนเก้าอี้

เมื่อถูกกระชากจากเบื้องหลังทำให้เขาแทบจะหงายหลังล้มลงไปทั้งเก้าอี้เลยทีเดียว

และดีที่เขาเป็นคนแข็งแรงและรวดเร็วพอจึงขืนตัวเองไว้ได้อย่างทุลักทุเล




“อะไรกันเนี่ย” หลังจากตั้งหลักได้

มัลฟอยก็ลุกขึ้นหันมาเผชิญหน้ากับบุคคลลึกลับนั้นทันทีด้วยสายตาตกใจปนเคืองนิด ๆ “ทำอะไรของคุณ

จะฆ่ากันหรือไง ถ้าผมหงายหลังไปหัวฟาดพื้นจะทำยังไงล่ะ ฮึ”




“แค่นั้นไม่ถึงตายหรอก และอีกอย่างถ้าชั้นจะฆ่าคุณ ชั้นไม่ใช้วิธีที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลมั้ยแบบนี้หรอกนะ

ชั้นเสกคาถาใส่ตอนคุณเผลอไม่ดีกว่าหรือไง” สีหน้าของรินซี่ หรือก็คือ

เฮอร์ไมโอนี่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น โกรธเคือง




“อะไรอีกล่ะ ผมไปทำอะไรให้คุณ ถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น”

มัลฟอยคิดว่าพอจะเข้าใจว่าทำไมหญิงสาวแสนสวยคนนี้ถึงได้มองเขาแบบนั้น

แต่เพื่อความรื่นเริงในยามเช้าที่สดใส ขอยั่วโมโหเล่นสักหน่อยคงจะดี จึงได้ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป




“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”




“ก็มันเรื่องอะไรกันล่ะ ผมไม่ใช่พระเจ้าจอร์จนี่จะได้รู้ดีทุกเรื่องนะ”

ชายหนุ่มพยายามทำสีหน้าให้หน้าเชื่อถือ แถมยังกระพริบตาปริบ ๆ ให้ดูน่ารัก

แต่คนเห็นกลับหมั่นไส้มากกว่า เพราะรู้ว่าชายหนุ่มแกล้งทำ




“อย่าเลย มัลฟอย ชั้นรู้ว่านายรู้ นายหลอกชั้นไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สองหรอก”

มัลฟอยสะดุดกึกกับสำนวนที่เฮอร์ไมโอนี่เผลอตัวพูดออกมา




‘ครั้งที่.....สอง....งั้นเหรอ’ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนิ่งไป

เฮอร์ไมโอนี่จึงขยับเท้าเข้าไปหาอีกหนึ่งก้าวและเรียกชื่อเบา ๆ

โดยที่หญิงสาวยังไม่รู้ว่าเผลอตัวพูดอะไรออกมา

แถมสำนวนที่ใช้ยังแสดงถึงความสนิทสนมที่ชายหนุ่มฟังแล้งคุ้นหัวใจเหลือเกิน




“นี่ คุณ เป็นอะไรอีกล่ะ”

พูดพร้อมกับเอานิ้วจิ้มไปที่หัวไหล่ของมัลฟอยเพื่อดูว่าวิญญาณยังอยู่ในร่างหรือเปล่า

และนั่นเองทำให้มัลฟอยรู้สึกตัวหันไปมองหน้าหญิงสาวครู่หนึ่ง




“ใครเป็นอะไร มีแต่คุณนั่นล่ะ เต้นเป็นเจ้าแต่เช้าเชียว มีอะไร”

มัลฟอยตัดสินใจที่จะยังไม่พูดถึงมันในตอนนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะแน่ใจ หรือมีหลักฐานซะก่อน




“เรื่องอะไรเหรอ.....อ่อใช่..” เฮอร์ไมโอนี่มัวแต่สงสัยในท่าทีแปลก ๆ

ของมัลฟอยจนเกือบลืมเรื่องสำคัญที่ตั้งใจจะมาเคลียร์กับชายหนุ่มไปสนิท

ถ้ามัลฟอยไม่พูดขึ้นมาก็คงจะลืมไปเลยแน่ ๆ “เมื่อวานนี้ชั้นไปนอนอยู่บนเตียงได้ยังไง

ก็ชั้นจำได้ว่าชั้นนั่งรถไปกับคุณเพื่อกลับที่พัก แล้ว....แล้ว.....”




“แล้วคุณก็หลับไป เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เพิ่งรู้ว่าขี้เซาขนาดนั้นนะเนี่ย”

มัลฟอยมองหน้าหญิงสาวเป็นเชิงล้อ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีเข้มขึ้นมาทันที ทั้งโกรธทั้งอาย




“ชั้นไม่ได้ขี้เซา” หญิงสาวโต้กลับ




“อ๋อเหรอ แล้วเมื่อวานมันอะไรกันล่ะ” มัลฟอยหันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง

นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวโมโหมากขึ้นไปอีกที่มัลฟอยมาหันหลังให้เธอในขณะที่เธอกำลังพูดกับเค้าอยู่แบบนี้




“อะไรก็ช่างเถอะน่ะ ชั้นไม่ได้มาพูดกับคุณเพราะเรื่องนั้นนะ”

เฮอร์ไมโอนี่เดินอ้อมมายืนตรงหน้าชายหนุ่มรูปงามที่กำลังจิบกาแฟต่ออย่างสบายใจ




“งั้นเรื่องไหนล่ะ”




“เมื่อวานชั้นไปนอนบนเตียงได้ยังไง” เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้ามัลฟอยอย่างคาดคั้นต้องการคำตอบ




“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ” นอกจากไม่ตอบแล้วมัลฟอยยังถามเธอกลับด้วย




“คุณคงไม่ได้...เอ่อ...ไม่ได้....”




“อุ้มคุณนะเหรอ” มัลฟอยต่อคำพูดให้กับหญิงสาว “อ้อ แน่นอน

ก็ในเมื่อบ้านหลังนี้มีผมกับคุณแค่สองคนเท่านั้นที่เป็นคนอาศัยอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครล่ะ”

คำพูดของมัลฟอยทำเอาเฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดเผือด




“งั้นคุณก็....คุณ...เป็นคน...เอ่อ...คุณ....”

คำพูดตะกุกตะกักของเฮอร์ไมโอนี่ทำเอามัลฟอยเริ่มหงุดหงิด




“อะไรล่ะ ผมทำอะไร”




“เอ่อ...ใครเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชั้นเมื่อคืนนี้”

นี่เป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการอยากรู้มากที่สุดหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมเมื่อวาน

หายไปและถูกแทนที่ด้วยชุดนอนเบาสบาย




“อ้อ เรื่องนี่เองที่คุณอยากรู้ถึงขนาดต้องวิ่งแจ้นมาหาผมแต่เช้า ทั้ง ๆ

ที่ยังไม่ได้อาบน้ำให้เรียบร้อย” พูดจบมัลฟอยก็มองสำรวจไปตามร่างกายบอบบางน่าทะนุถนอม

ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงเป็นลูกตำลึง กระชับเสื้อคลุมให้แน่นมากขึ้น




“เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วนี่ว่าในบ้านหลังนี้ มีผมกับคุณเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่แค่สองคน

เพราะงั้นมันก็หมายความว่า........” ชายหนุ่มจงใจละช่องว่างไว้ให้หญิงสาวคิดเอาเอง




“คุณเปลี่ยนเสื้อให้ชั้นงั้นเหรอ โอ้ ไม่นะ” หญิงสาวทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ

เก้าอี้ของมัลฟอยอย่างหมดแรง “งั้นคุณก็เห็นแล้วสิ” หญิงสาวคิดถึงเรื่องที่เธอ ‘กังวล’

แต่มัลฟอยกลับคิดไปคนละทาง




“ก็เห็นเท่าที่ควรเห็นนั่นล่ะ เอาน่า มันก็ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก” มัลฟอยพยามทำหน้าตาขึงขังทั้ง ๆ

ที่ดวงตาพราวระยับ แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจจะฟัง ‘นี่เขาเห็นแล้ว เขาเห็นแล้ว’

ส่วนมัลฟอยเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไปและเริ่มหน้าเสีย จึงเลิกแกล้งหญิงสาวตรงหน้า




“หน้าคุณตอนนอนหลับน้ำลายยืดเนี่ย มันก็ดูน่ารักดีออกนะ”




“คุณพูดถึงอะไรน่ะ คุณมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่กำลังสงสัยว่ามัลฟอยพูดถึงเรื่องอะไร




“ก็พอผมเห็นคุณนอนหลับน้ำลายยืดหน้าตามอมแมม ผมก็ให้ชาช่ามาจัดการเช็ดตัวและก็เปลี่ยนเสื้อให้คุณไง

ก็แค่นั้น นี่คุณเข้าใจว่าผมเห็นอะไรงั้นเหรอ” ชายหนุ่มยังคงตีหน้าซื่อ

แต่แววตามันฟ้องว่าเจ้าตัวกำลังสนุกสนาน




“ชาช่า...ไหนคุณบอกว่าบ้านหลังนี้มีคุณกับชั้นแค่สองคนไงล่ะ คุณหลอกชั้นเหรอ”

เฮอร์ไมโอนี่จับแขนมัลฟอยเขย่าอย่างลืมตัว




“ผมไปหลอกคุณที่ไหนกัน ผมบอกว่าบ้านนี้มีคุณกับผมที่เป็น ‘คน’ อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น

นอกนั้นก็มีเอลฟ์อีกตนหนึ่ง ผมพูดผิดตรงไหนกัน”




“คุณนี่มัน.......โอ๊ย ชั้นไปอาบน้ำดีกว่า เสียเวลาจริง ๆ เลย”

พูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็สะบัดแขนมัลฟอยที่ตัวเองเกาะเอาไว้เมื่อครู่นี้ออกอย่างแรง

แล้วลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในบ้านสวนทางกับเอลฟ์ตัวจ้อยที่เดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามา

เอลฟ์มองตามหลังหญิงสาวไปอย่างสงสัยจนกระทั่งมัลฟอยสังเกตเห็น




“เป็นอะไรของแก เอาหนังสือมาให้ชั้นได้แล้ว” ชาช่าน้อยค่อย ๆ เดินเข้ามาหามัลฟอยอย่างช้า ๆ

แต่สายตายังคงมองไปทางที่เฮอร์ไมโอนี่เดินไป จนกระทั่งไปชนกับโต๊ะที่มัลฟอยนั่ง

จนกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะหกเลอะเทอะ




“อะไรเนี่ย ชาช่า แกเป็นอะไร ฮะ” มัลฟอยเริ่มโมโห จึงตะคอกใส่เอลฟ์ตัวน้อยจนมันกลัวตัวสั่น




“นายน้อย อีชั้นขอโทษเจ้าค่ะ” เอลฟ์น้อย ๆ รีบระล่ำระลักขอโทษขอโพยเจ้านายของเธอเป็นการใหญ่

แถมยังเอาหนังสือพิมพ์ที่ถือมาม้วนเป็นก้อนกลม ๆ แล้วตีหัวตัวเอง

ซึ่งมัลฟอยก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะบอกให้มันเลิกทำ




“เอ่อ นายน้อยเจ้าค่ะ คือ...คือว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้น่ะเจ้าค่ะ เค้าเป็นใครกันค่ะ”

คำถามของเอลฟ์ทำเอามัลฟอยนึกฉงนในใจ




“แกจำไม่ได้หรือไง ก็คนที่ชั้นพามาไงล่ะ ที่ชั้นให้แกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาไง”

น้ำเสียงของเขาในตอนนี้ค่อยเย็นลงแล้ว เพราะขำกับความขี้ลืมของทาสตัวน้อย

แต่ชาช่ากลับส่ายหน้าของมันจนใบหูใหญ่ ๆ ไหวระริก




“ไม่ใช่เจ้าค่ะ อีชั้นไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณคนนี้ ถึงหน้าตาจะเหมือนกันก็จริง

แต่ทรงผมไม่ใช่นะเจ้าค่ะ”




“หมายความว่าไง” มัลฟอยชะงัก ก่อนจะหันมาคาดคั้นกับมันอย่างจริงจัง “เล่ามา เร็ว!!”




“เอ่อ คุณคนนี้ผมสีทอง แต่คุณที่อีชั้นเช็ดตัวให้เมื่อวานไม่ใช่เจ้าค่ะ” มันส่ายหน้าดิก ๆ

เพื่อยืนยันคำพูด




“สีอะไร ผมสีอะไร” มัลฟอยถามเสียงเบาหวิว ในใจภาวนาให้คำตอบเป็นอย่างที่เขาคิด




“สีน้ำตาลเจ้าค่ะ แถมดูหยิก ๆ เหมือนจะฟูนิด ๆ ด้วยล่ะเจ้าค่ะ”

และคำตอบนั่นเองเป็นสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กังวลเมื่อตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า

แล้วเห็นว่าผมตัวเองที่ลงคาถาแปลงตัวไว้แทนที่จะเป็นสีทอง มันกลับกลายเป็นสีน้ำตาลเหมือนสีผมจริง ๆ

ของเธอไปแล้ว และก็มีใครบางคนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอด้วย ถ้าคน ๆ นั้นเป็นมัลฟอย เขาย่อมต้องรู้แน่

ๆ ว่าเป็นเธอ และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่รู้ว่ามัลฟอยไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ หญิงสาวก็ค่อยเบาใจลง

โดยลืมไปว่าถึงมัลฟอยไม่เห็น แต่ก็ยังมีอีกคน(ตัว)หนึ่งเห็น




“งั้นเหรอ แกไปได้แล้ว… อ้อ เดี๋ยว ถ้าเขาถามว่าแกเห็นอะไรผิดปกติเกี่ยวกับผมเขาหรือเปล่า

ให้แกบอกว่าไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติเลยนะ….นี่เป็นคำสั่ง” มัลฟอยกำชับ

ซึ่งเอลฟ์น้อยก็พยักหน้าอย่างแข็งขัน




“งั้นแกไปได้แล้ว”




เมื่อมัลฟอยได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เอาแต่คิดวนไปวนมาแต่เรื่องนี้ ‘ใช่เธอหรือเปล่า

เฮอร์ไมโอนี่ ชั้นต้องรู้ให้ได้’




*-*-*-*-*-*-*-*




ตอนที่ 16 เกลียด




หลังจากผ่านการทะเลาะอย่างหนักหน่วงกับมัลฟอยมาแล้ว

เฮอร์ไมโอนี่ก็กลับมานั่งสงบสติอารมณ์ในห้องพักของตัวเอง พลางคิดถึงเรื่องเมื่อเช้า

หลังจากที่ตื่นนอนมาอย่างงัวเงียแล้วพบว่าเสื้อผ้าที่สวมเมื่อวานหายไป และถูกแทนที่ด้วยเสื้อนอนเบาสบาย

และยิ่งตกใจหนักขึ้นเมื่อไปส่องกระจกในห้องน้ำแล้วพบว่าผมที่หญิงสาวเสกคาถาไว้ให้กลายเป็นสีบรอนซ์นั้น

กลับกลายมาเป็นผมเดิมของตัวเอง ใช่แล้ว ระหว่างที่นอนหลับไป คาถาที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้ก็เริ่มเสื่อมลง

จึงทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเธอเริ่มปรากฏให้เห็น

หญิงสาวรีบเสกคาถาใส่ผมของตัวเองให้เป็นสีบรอนซ์อีกครั้งก่อนจะคว้าเสื้อคลุมวิ่งออกจากห้องนอนตรงไปหามัล

ฟอย เพื่อสอบถามความจริง ระหว่างทางก็ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่ตัวเองกลัวเลย

จนกระทั่งได้รับคำยืนยันว่าชายหนุ่มไม่ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของผมของเธอ

และเขาก็ไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนเสื้อให้กับหญิงสาวด้วย แต่เขาใช้ให้เอลฟ์ทำหน้าที่นั้นแทน.......เอลฟ์!!!




ทันทีที่ความคิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ใจหายวาบขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าเอลฟ์ตัวน้อย ๆ

ที่เดินสวนกับเธอเมื่อกี้นี้จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหรือไม่

แต่เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของมัน ตอนที่เดินสวนกันเมื่อสักครู่




“ตายล่ะ ถ้าเธอเห็นล่ะ แล้วป่านนี้คงเอาไปบอกมัลฟอยแล้วล่ะมั้ง ทำไงดีเนี่ยเรา”

เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าขณะนี้ สิ่งที่เธอกังวลได้ล่วงรู้ไปถึงหูชายหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยอย่างมากในเช้าวันนี้ และนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองพักใหญ่

ก่อนจะถอนใจออกมาแรง ๆ




“เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด บางทีมันคงจะไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากสิ เฮอร์ไมโอนี่” คิดได้ดังนั้น

หญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินหายเข้าห้องน้ำไป สักพักก็กลับออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่รอบตัว

เฮอร์ไมโอนี่รีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะเสกคาถาแปลงร่างใส่ตัวเองอีกครั้ง

ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง

หญิงสาวเดินมาจนถึงห้องทานอาหารซึ่งมัลฟอยได้นั่งรอหญิงสาวอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

สีหน้าของชายหนุ่มขณะนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ทำเอาหญิงสาวใจคอไม่ดี

ด้วยกลัวว่าความลับของตัวเองอาจจะถูกเปิดเผยแล้วก็ได้ หญิงสาวกระแอมเบา ๆ พอให้มัลฟอยรู้สึกตัว




“อะแฮ่ม” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองเธอด้วยสายตาที่หญิงสาวไม่สามารถตีความหมายได้เลย

ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและผายมือไปที่เก้าอี้ข้างตัว เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ เดินอย่างช้า ๆ

บังคับไม่ให้ขาสั่น แต่ก็ช่วยไม่ได้เลยในเมื่อขณะนี้เธอกำลังตื่นเต้น

ในที่สุดหญิงสาวก็สามารถพาตัวเองมาจนถึงโต๊ะและนั่งลงจนสำเร็จ




“เอ่อ คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ หรือโกรธที่ชั้นไปโวยวายใส่คุณเมื่อกี้”




“เปล่าหรอก คือผมกำลังคิดเรื่องเมื่อคืน.......” คำตอบของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวตาเบิกโพลงอย่างตกใจ

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขุ่นเขียวด้วยความโมโหเมื่อได้ฟังประโยคถัดมาของเขา




“……..ผมน่าจะเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณเองนะ ไม่น่าใช้ชาช่าเลย โอกาสอย่างนี้มีไม่บ่อยซะด้วยสิ”




“บ้า ทะลึ่ง” เฮอร์ไมโอนี่ถลึงตาใส่และไม่ยอมพูดอะไรกับมัลฟอยอีกเลย

ส่วนมัลฟอยเองก็เอาแต่ชำเลืองมองหญิงสาวอย่างใช้ความคิด

ในใจเขาเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือคนที่เขารอคอยมานานแสนนาน

แต่เขายังไม่มีวิธีที่จะพิสูจน์ความจริง และถ้าเกิดเขาทำอะไรพลีพลามลงไป หญิงสาวอาจจะหนีเขาไปอีก

เขาจะต้องหาวิธีผูกมัดเธอเอาไว้ทั้งตัวและหัวใจให้ได้ระหว่างที่ทั้งคู่ทานอาหารกันไปอย่างเงียบ ๆ นั้น

โทรศัพท์ของมัลฟอยก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดปุ่มรับก่อนจะกรอกเสียงลงไป




“ว่าไงแพนซี่” แค่เพียงได้ยินชื่อ หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่ก็หล่นวูบ

เฮอร์ไมโอนี่พยายามไม่แสดงอาการอะไรให้ชายหนุ่มรู้ว่าตัวเองแอบฟังอยู่ หญิงสาวกินข้าวไปอย่างเงียบ ๆ




“ได้เรื่องแล้วเหรอ...อืม....งั้นเหรอ......อืม....ขอบใจนะ ถ้าไม่ได้เธอ ชั้นจะทำไงดีเนี่ย......เปล่า

ชั้นไม่ได้ปากหวาน ชั้นพูดจริง

ๆ........ก็อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งน่ะชั้นถึงจะกลับ.............ชั้นก็คิดถึงเธอ............โอเค ๆๆ

ไม่ต้องห่วง ชั้นจะดูแลตัวเอง เธอก็เหมือนกันนะ..........บาย”




หลังจากวางหูมัลฟอยดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ ชายหนุ่มฮัมเพลงเบา ๆ ในลำคอ

ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่กลับทานอะไรไม่ลง จนในที่สุดเมื่อไม่สามารถฝืนกลืนอาหารต่อไปได้แล้ว

หญิงสาวจึงรวบช้อนส้อม และจิบน้ำล้างคอ




“อ้าว อิ่มแล้วเหรอ กินหรือดมกันแน่”




“เช้า ๆ ดิชั้นไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่” ท่าทางของเฮอร์ไมโอนี่ดูซึม ๆ แต่มัลฟอยก็เลือกที่จะไม่ถาม




“อืม งั้นเราไปทำงานกัน นี่ก็สายมากแล้ว.....ชาช่า ๆ กุญแจรถ”

มัลฟอยตะโกนเรียกเอลฟ์ก่อนจะเดินออกไปหลังจากรับกุญแจรถจากเจ้าเอลฟ์แล้ว

ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ยังรีรออยู่ที่เดิมจนมัลฟอยเดินลับออกไปจากห้องแล้ว จึงสะกิดเอลฟ์ก่อนจะก้มลงถามเบา ๆ




“เออ..ชาช่า ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย”




“ได้สิเจ้าค่ะ คุณมีอะไรจะถามอีชั้นหรือเจ้าค่ะ” มันกระพริบตาปริบ ๆ และทำท่าตั้งใจฟัง และท่าสังเกตดี

ๆ มันดูตั้งใจมากเกินไปด้วยซ้ำ




“คือ....อืม....เรื่องเมื่อคืนน่ะ คือ....เธอเห็นอะไรแปลก ๆ บางหรือเปล่า…”

ถามแล้วก็แทบจะกลั้นใจฟังทีเดียว และเมื่อเห็นมันทำท่านึกจึงพูดขึ้นอีก โดยให้เจาะจงมากกว่าเดิม

“...อย่างเช่น รูปร่างของชั้น หรือ.....ทรงผม”




“อืมม..ก็ไม่มีอะไรนี่ค่ะ ปกติดีทุกอย่างเลย” มันพยักหน้าขึงขัง




“แน่ใจนะ ว่าไม่มีอะไรผิดไป ดูดี ๆ สิ” ไม่พูดเปล่ายังจับไหล่เล็ก ๆ ให้หันมาจ้องตัวเองให้ถนัด




“เจ้าค่ะ ไม่มีอะไรผิดปกติเจ้าค่ะ หรือคุณว่ามีอะไรเจ้าค่ะ”




“ไม่มีหรอก งั้นชั้นไปก่อนนะ” เมื่อแน่ใจว่าเอลฟ์คงไม่ได้โกหก

หญิงสาวจึงเดินไปหามัลฟอยที่ยืนรออยู่ที่รถได้อย่างสบายใจขึ้น

แต่ทีนี้กลับเป็นมัลฟอยเองที่เริ่มหงุดหงิดที่ต้องมายืนรอ




“นี่ คุณจะให้ผมรอไปถึงไหนเนี่ย นี่มันฮาวายนะ ไม่ใช่ลอนดอน ร้อนจะตายชัก”




“อ้าว ก็แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปรอในรถล่ะ จะมายืนทำไมให้ร้อน”

พูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งอย่างสบายอารมณ์ โดยที่ปล่อยให้มัลฟอยยืนอึ้งอยู่กับที่




“นี่ชั้นผิดหรือไงนะ เหอะ” มัลฟอยพ่นลมหายใจออกจากจมูก

ก่อนจะเปิดประตูรถและกระชากรถออกไปอย่างรวดเร็ว




*-*-*-*-*-*-*-*




หลังจากวางหูจากมัลฟอยแล้ว แพนซี่จึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่ยืนหน้าบึ้งรออยู่ทางด้านหลัง

สายตาของรอนบ่งบอกความไม่พอใจอย่างชัดเจนจนแพนซี่เริ่มขำ

แต่นั่นทำให้หน้าของชายหนุ่มยิ่งบึ้งหนักเข้าไปอีก




“หัวเราะอะไรมิทราบ” รอนถามเสียงห้วนกับหญิงสาวคล้ายเด็กที่ละเลยความรักและกำลังเรียกร้องความสนใจ

โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาปิดร้านแล้ว และก็ไม่มีใครอยู่ในร้านนี้อีก นอกจากเขาและเธอแค่สองคน




“ก็หัวเราะนายนะสิ ดูนายทำหน้าเข้า ตลกชะมัดเลย” ไม่พูดเปล่า

หญิงสาวยังปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับรอยยิ้มสดใส และนั่นทำให้รอนเผลอมองด้วยความหลงใหล




“ถ้ามันทำให้คุณหัวเราะได้บ่อย ๆ ผมก็ยินดีนะ” ทีนี้กลับเป็นแพนซี่ที่หัวเราะไม่ออก

หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาจริงจังคู่นั้น แล้วแสร้งทำทีเป็นเก็บข้าวของลงกระเป๋าทำงานคู่ใจ




วันนี้แพนซี่มาหารอน เพราะมีนัดสัมภาษณ์กับเขา จริง ๆ เธอได้นัดเขาไว้ตั้งแต่เมื่อ 4 วันที่แล้ว

แต่หญิงสาวก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด

จนกระทั่งวันนี้ที่หญิงสาวจำเป็นที่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อกับมัลฟอย

แต่เธอไม่รู้ว่าจะใช้มันยังไง จึงตัดสินใจมาหารอนหลังจากพยายามบ่ายเบี่ยงอยู่หลายวัน




“ขอบใจมากสำหรับวันนี้นะวิสลี่ ชั้นกลับล่ะ” เมื่อรู้สึกว่ากำลังตกเป็นรองทางด้านความรู้สึก

แพนซี่จึงรีบหาทางยุติมันโดยเร็วก่อนที่จะเกินเลย แต่รอนไม่ยอมให้หญิงสาวเดินหนีไปได้ง่าย ๆ

รีบเดินมาขวางหน้าหญิงสาวเอาไว้




“เดี๋ยวสิ คุณคงไม่ลืมสัญญา...ใช่มั้ย” แล้วชายหนุ่มก็จ้องมองลึกลงไปในตาของอีกฝ่าย

และก็เป็นตัวแพนซี่เองที่ไม่สามารถสู้สายตาคมกล้าจริงจังคู่นั้นได้ จึงหลบตาแล้วพยายามบ่ายเบี่ยง




“ก็..บทความยังไม่ได้ลงตีพิมพ์เลยนี่ นายจะมาทวงได้ไง” พูดจบก็ก้มลงจะหยิบกระเป๋า

แต่รอนกลับคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุมไว้




“จะช้าจะเร็วมันก็ต้องมาถึง ผมก็แค่...ไม่อยากรอนานขนาดนั้นเท่านั้นล่ะ”




“เอ่อ...คือ...อืม ไม่ยักรู้ว่านายก็จริงจังกับเขาเป็นด้วยนะเนี่ย ฮึฮึ ตลกดี”

เมื่อไม่รู้จะหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร หญิงสาวจึงเปลี่ยนเรื่องซะดื้อ ๆ

เพื่อให้พ้นจากการรุกของรอน แต่ก็ต้องไปเจอกับการรุกอีกแบบหนึ่ง




“ผมจริงจังเฉพาะกับคุณเท่านั้นล่ะ.....”

ชายหนุ่มก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าวทำให้ระยะห่างระหว่างเขาและเธอสั้นลง ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ

ต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน สัมผัสได้ถึงอุ่นไอของอีกฝ่าย

มืออุ่นจัดแข็งแรงยังคงกอบกุมมือบางเย็นเฉียบเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

เหมือนกลัวว่าสัมผัสนั้นจะหายไปหากเพียงเขาแค่ปล่อยมือ




“..........คุณไม่รู้เหรอ ไม่เคยรู้สึกบ้างหรือไง” ลมหายใจร้อน ๆ

ของชายหนุ่มรดลงมาต้องใบหน้าของหญิงสาวทุกครั้งที่เขาพูด

ส่งผลให้เลือดทุกหยาดหยดในร่างกายไหลมารวมกันอยู่บนใบหน้าสวยเก๋นั้น

ใบหน้างามแดงปลั่งก้มลงต่ำไม่กล้าสบสายตา เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเงียบไป

รอนจึงเอื้อมมือมาเชยคางแพนซี่เงยขึ้นเพื่อสบตากับเขา




“ผมอาจจะผิดที่เอาแต่แกล้งคุณ และทำเหมือนเป็นเล่นไปซะหมด แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากจะขอให้คุณแน่ใจ....”

หญิงสาวจ้องลงไปในดวงตาคู่นั้นอย่างค้นหาความจริง “........ผมรักคุณนะ”




พูดจบรอนก็ก้มลงจูบหน้าผากหญิงสาวเบา ๆ ซึ่งทันทีที่ริมฝีปากของรอนสัมผัสกับหน้าผากของแพนซี่

หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนจะมีไอร้อนแล่นวาบเข้ามาในร่างกาย แต่เพียงไม่นานความร้อนก็จางหายไป พร้อม ๆ

กับที่รอนถอนริมฝีปากออกมา




“อ๊ะ.....” หญิงสาวร้องออกมาเพียงแค่นั้น ก่อนจะมองหน้ารอนที่ตอนนี้ถอยออกไปยืนอยู่ห่าง ๆ อย่างสงสัย

ใบหน้าชายหนุ่มระบายไปด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนแต่เศร้าสร้อย




“ผมถอนคำสาปให้คุณแล้ว ต่อไปนี้คุณก็ไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการอีกแล้วล่ะ

ผมขอโทษที่ฝืนใจคุณมาตลอด ลาก่อน”




“ทำไมนาย....” หญิงสาวถามออกมาได้เพียงแค่นั้นด้วยไม่สามารถหาถ้อยคำใด ๆ มาร้อยเรียงเป็นประโยคได้




“เพราะผมโง่เกินไปล่ะมั้ง โง่ตั้งแต่ที่เริ่มตกหลุมรักคุณ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคุณไม่ใยดี

โง่..ที่ปล่อยให้ใจถลำลึกลงไปมากขนาดนี้

และโง่ที่สุด...ที่ตัดสินใจให้อิสระกับคุณเพียงเพื่ออยากจะเห็นคุณมีความสุข....โดยคนที่จะทำให้คุณมีความ

สุขได้....ไม่ใช่ผม”




พูดจบ ชายหนุ่มก็หันหลังกลับ แต่ก่อนที่จะเดินจากไปนั้น เสียงของแพนซี่ก็ดังขึ้นเบา ๆ




“นายมันโง่จริง ๆ ” ชายหนุ่มชะงักอยู่ชั่วครู่

ใจหนึ่งอยากหันหลังกลับไปและเก็บเธอเอาไว้ในที่ที่มีแค่เขาและเธอ

แต่อีกใจกลับห้ามไว้เพราะกลัวเธอต้องมาทุกข์ใจกับเขา ในที่สุดชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเท้าต่อไป

ก่อนจะต้องชะงักอีกครั้งเพราะคราวนี้เสียงตะโกนที่สั่นเครือบ่งบอกว่าคนข้างหลังกำลังร้องไห้




“นายมันโง่จริง ๆ ด้วย โรนัลล์ วิสลี่” เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นมาจากหญิงสาวที่เขารัก

รอนรีบหันหลังกลับมาเพื่อดูด้วยความห่วงใย

แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ทำอะไรแพนซี่ก็เข้ามารั้งคอชายหนุ่มลงไปหาพร้อมกับมอบจุมพิตที่แสนอ่อนโยนให้เ

ขา ชายหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วครู่เพราะความตกใจก่อนที่จะรับสัมผัสนั้นด้วยความเต็มใจ

สองแขนแข็งแรงโอบรอบลำตัวบอบบางนั้นก่อนจะรั้งร่างของหญิงสาวให้เข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น

เวลาเหมือนหยุดหมุน นาทีนานนับเดือน ต่างถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้กันและกันผ่านทางจูบนั้นจนหมดสิ้น




ในที่สุด รอนก็ถอนใบหน้าออกมา จ้องมองใบหน้างามที่ชื้นไปด้วยคราบน้ำตานั้นอย่างรักใคร่

ก่อนจะใช้ริมฝีปากซับคราบน้ำตาออกไปจนหมด หญิงสาวซบลงไปที่ไหล่ของชายหนุ่มอย่างอ่อนล้า

ร่างบางยังคงมีอาการสั่นน้อย ๆ




“ทำไมคุณถึง.....” รอนเป็นฝ่ายที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน โดยที่แพนซี่ยังคงซบอยู่ที่หัวไหล่

ก่อนจะตอบออกมาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น




“เพราะชั้นเกลียดนายไง เกลียดท่าทางกวน ๆ ของนาย เกลียดน้ำเสียงของนาย เกลียดกลบ้า ๆ

ที่นายชอบเอามาหลอกชั้น เกลียดผมนาย เกลียดอาหารของนาย เกลียด.......”




“โอเค ๆ เข้าใจแล้วว่าคุณเกลียดผมมากขนาดนั้น มันช่วยไม่ได้นี่นะ เพราะมันคือตัวผม”

ชายหนุ่มยักไหล่เบา ๆ




“ใช่ เพราะมันคือนาย ชั้นถึงได้อยากรู้จักให้มากขึ้นกว่านี้” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาจากบ่าของรอน

และสบตาเขา “อยากรู้จักให้มากขึ้น”




รอนจ้องตาแพนซี่นิ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์




“โอเคเลย ถ้าคุณอยากรู้จักให้มากกว่านี้ จัดให้” แววตาช่างเจ้าเล่ห์นักจนคนมองรู้สึกเสียวสันหลัง

หญิงสาวค่อย ๆ เดินถอยหลังช้า ๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่




“นายหมายความว่าไง วิสลี่” แต่รอนก็เดินหน้ามาติด ๆ ดวงตาเริ่มฉายแววสนุกออกมาอีกครั้ง

‘ได้แกล้งคนอีกแล้ววันนี้’




“เรียกรอนสิ แล้วก็....หมายความว่าแบบนี้ไง” ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวเอาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะแบกขึ้นบ่า

เดินตรงไปที่บันได โดยมีหญิงสาวดิ้นปัด ๆ อยู่อย่างนั้น




“เฮ้ย นายจะทำอะไร ปล่อยชั้นนะ”




“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า” และแล้วร่างทั้งสองก็หายลับไปจากบันไดที่ขึ้นไปสู่ชั้นสองที่เป็น

‘ห้องนอนของรอน’




*-*-*-*-*-*-*-*-*

ปล. อย่าคิดลึก ไม่มีเรทค่าท่านผู้ชม แถมนิด!! เอ่อ ก็ไม่ค่อยนิดเท่าไหร่




แพนซี่ : นายจะทำอะไรชั้น ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ

รอน : เดี๋ยวก็รู้เองล่ะน่า

รอนยังคงเดินขึ้นบันไดต่อไป โดยไม่สนใจแพนซี่ที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

เพื่อหนีให้พ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชรอน ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินมาถึงหน้าห้อง ๆ หนึ่ง

โดยไม่รอช้าเขาก็รีบเปิดประตูเข้าไปทันที ในห้องนั้นมีเตียงนุ่มสบายน่านอนตั้งอยู่กลางห้อง

และมีการตกแต่งไว้อย่างน่ารักเหมาะสำหรับเป็นห้องของผู้หญิง รอนรีบอุ้ม (แบก)

หญิงสาวไปวางลงบนเตียงอย่าแผ่วเบา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนจะมองหญิงสาวที่นั่งหน้าตื่น ๆ

ด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม จนทำให้คนถูกมองเริ่มผวาและถอยกรูดไปอยู่ที่หัวเตียงให้ห่างจากชายหนุ่มมากที่สุด

รอนเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะขยับตัวตามไปติด ๆ จนแทบจะเบียดหญิงสาวเข้าไปอยู่ในผนัง

รอน : เป็นอะไรไป ทำไมทำท่าแบบนั้น

รอนถามเสียงแหบพร่า ดวงตายังคงหวานหยดเช่นเดิม

แพนซี่ : ก็...ก็นายดะ..ดูแปลก ๆ นะ บะ...แบบว่า...

รอน : แบบว่าอะไร

ไม่ถามเปล่า ยังกระแซะเข้าไปให้ชิดมากขึ้น

แพนซี่ : เอ่อ...อื๊ย

หญิงสาวหลับตาปี๋ เมื่อรอนค่อย ๆ ยื่นหน้ามาใกล้ ๆ พลางคิดในใจ ‘วันนี้ไม่รอดแน่ชั้น’

ก่อนจะรู้สึกถึงริมฝีปากอุ่นที่แตะเบา ๆ ที่หน้าผาก ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบข้าง ๆ หูว่า

รอน : ราตรีสวัสดิ์นะ

หญิงสาวรีบลืมตาขึ้นดูเพียงเพื่อจะพบกับสายตาล้อเลียนของชายหนุ่มที่มองตรงมา และรู้ทันทีว่ารอนแกล้งเธอ

หญิงสาวจึงผลักรอนออกไปห่าง ๆ อย่างโมโห รอนจึงไปยืนหัวเราะลั่นอยู่ตรงประตู

แพนซี่ : นายนี่มัน......ไปให้พ้นเลยนะ

หญิงสาวหันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบหมอนมาปาใส่ชายหนุ่มที่วิ่งหายออกไปจากห้อง

ก่อนจะโผล่หัวเข้ามาในห้องอีกครั้ง

รอน : เพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าชอบคิดลามกเหมือนกัน

แพนซี่ : ตาบ้า!!!

แพนซี่หยิบผ้าห่มมาปาออกไปอีกครั้งก่อนที่รอนจะปิดประตูลง เสียงรอนตะโกนดังเข้ามาในห้องจับใจความได้ว่า




รอน : ชั้นเห็นว่ามันดึกแล้วเลยไม่อยากให้เธอต้องเดินทาง มันอันตราย นี่เป็นห้องของจินนี่

เขาไม่ว่าหรอกถ้าเธอจะมาใช้ แต่ถ้ากลัวเขาว่าจะมานอนที่ห้องชั้นก็ได้นะ

แพนซี่ : ไปไกล ๆ เลย ชั้นเกลียดนายตาบ้าวิสลี่

เสียงหัวเราะของรอนดังขึ้นทันทีที่แพนซี่พูดจบและยังคงดังแว่วมาให้ได้ยินอีกครู่ใหญ่

จนหญิงสาวต้องส่ายหัวให้กับความทะเล้นของเจ้าของร้านอาหารคนนี้

แพนซี่ : ชั้นเกลียดนายตาบ้า

ปากบอกว่าเกลียด แต่ใบหน้ากลับระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข




.................................................................




----------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 17 พบกันอีกครั้ง




หลังจากที่มัลฟอยและรินซี่ (เฮอร์ไมโอนี่) มาทำงานที่ฮาวายได้ 5 วันแล้ว

ต่างก็เคลียร์งานที่มีปัญหาได้เกือบหมดสิ้น และอีกแค่ 2 วัน ทั้งสองคนก็จะถึงกำหนดกลับลอนดอน

มัลฟอยยังไม่มีโอกาสพิสูจน์ข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะหญิงสาวเอาแต่หลบหน้าและพยายามไม่อยู่กับชายหนุ่มแค่สองต่อสอง

มักจะต้องมีคนอื่นรวมอยู่ด้วยเสมอในเวลางาน

และเมื่อกลับที่พักเฮอร์ไมโอนี่ก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องจนพาลทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอด

3 วันที่ผ่านมา แล้วยังวันนี้อีกหลังจากที่ทำงานวันสุดท้ายอย่างหนักกันมาทั้งวัน

พีทที่คอยมาป้วนเปี้ยนแถว ๆ

ที่หญิงสาวอยู่เสมอได้รวบรวมความกล้าเข้ามาเอ่ยปากชวนเฮอร์ไมโอนี่ไปทานมื้อค่ำ ซึ่งทำเอามัลฟอยแทบเต้น

เพราะวันนี้เขากำลังคิดจะจู่โจมไม่ให้หญิงสาวตั้งตัวติด แต่พีทกลับมาตัดหน้าซะได้




“เอ่อ คุณอาวน์วาซ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ไปทานมื้อค่ำกับผมได้มั้ยครับ”




เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าพีทอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเหลือบไปมองมัลฟอยที่กำลังเหล่ดูทั้งสองคนอย่างเนียน ๆ

ก่อนจะตัดสินใจตอบตกลง




“ไม่มีปัญหาค่ะ ยินดี” พีทฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะรวบมือของหญิงสาวขึ้นมาเขย่าแรง ๆ




“อะแฮ่ม..แฮ่ม” เสียงหลังฟังดูเหมือนขู่เล็ก ๆ จนพีทรู้สึกตัวและหันไปมองมัลฟอยอย่างเกรงใจ




“เอ่อ คุณมัลฟอยคงไม่ว่าอะไรนะครับ ถ้าผมจะขออนุญาตพาผู้ช่วยของคุณไปทานข้าวสักมื้อ”

และก่อนที่มัลฟอยจะได้ตอบอะไร เฮอร์ไมโอนี่ได้ชิงพูดขึ้นก่อนว่า




“เขาไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรนี่ค่ะ ดิชั้นทำงานเรียบร้อยแล้ว

แล้วอีกอย่างชั้นจะไปไหนกับใครมันก็เรื่องของดิชั้น ค น อื่ น ไ ม่ เ กี่ ย ว”

ประโยคสุดท้ายเฮอร์ไมโอนี่เน้นช้า ๆ ชัด ๆ เพื่อให้มัลฟอยฟังโดยเฉพาะ

ซึ่งชายหนุ่มเองได้แต่มองอย่างเคือง ๆ ก่อนจะตอบพีทแต่ไม่วายแอบกัดหญิงสาวเล็ก ๆ




“ใช่ คุณอาวน์วาซอยากจะไปกับใครก็เรื่องของเขา แต่ชั้นอยากจะแนะนำนายนิดนึงนะ นายควรพาเธอไปร้านหรู ๆ

แพง ๆ หน่อย เธอคงชอบใจ”




“คุณอาวน์วาซชอบแบบนั้นเหรอครับ” พีทกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนจะรีบคำนวณเงินในกระเป๋าว่ามีมากพอหรือไม่

แต่ก็รีบยิ้มดีใจเมื่อได้ยินเสียงหวาน ๆ ตอบออกมา

โดยที่ไม่รู้เลยว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่

แต่มุ่งที่จะกัดคนที่ยืนเต๊ะอยู่แถวนั้นต่างหาก




“ไม่เป็นไรหรอกค่า พีท เรื่องราคาไม่สำคัญหรอกค่ะ มันสำคัญว่าเราไปกับใครมากกว่า ถ้าไปกับคนที่ถูกใจ

ที่ไหนดิชั้นก็ไม่เกี่ยงหรอกค่ะ”

เฮอร์ไมโอนี่เชิดใส่มัลฟอยก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับพีทที่ทำเอาคนรับแทบละลายเป็นเนยตากแดด

แต่คนนอกวงอย่างมัลฟอยแทบจะคลั่งตาย

ยิ่งเมื่อได้ฟังเสียงหวานนัดแนะเวลาให้พีทมารับที่บ้านพักตอนทุ่มกว่า ๆ

มัลฟอยยิ่งอยากจะบีบคอพีทให้แหลกคามือ

ซึ่งรังสีอำมหิตที่มัลฟอยปล่อยออกมานี่คงแรงพอจนพีทเองเริ่มรู้สึกได้




“เอ..ทำไมวันนี้มัน...แปลก ๆ แฮะ เสียวสันหลังวาบ ๆ ไงก็ไม่รู้

ถ้าอย่างงั้นเจอกันตอนทุ่มหนึ่งนะครับคุณอาวน์วาซ ไปนะครับคุณมัลฟอย”




“เออ” มัลฟอยตอบสั้น ๆ ห้วน ๆ จนพีทสะดุ้งรีบสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เหลือมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่แค่สองคนแล้ว ชายหนุ่มยังเอาแต่หงุดหงิดงุ่นง่าน

และคิดหาคำสาปที่จะเอามาใช้กับพีทข้อหาที่มายุ่งกับแฟนของเขา (นั่น ขี้ตู่เห็น ๆ)

จนไม่ได้สังเกตว่าเฮอร์ไมโอนี่มายืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว




“อึ้ม..ไม่ทราบว่าคุณจะกลับบ้านหรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่ดิชั้นจะได้ไปเอง”

หญิงสาวทิ้งสายตาคมกริบมองชายหนุ่ม และก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไรออกมา

เฮอร์ไมโอนี่ก็หันหลังกลับและเดินไปทางลานจอดรถ ปล่อยให้มัลฟอยอ้าปากพะงาบ ๆ รับลมหาคำพูดไม่เจอ




“.......อะ...วุ้ย อะไรนักหนาฟ่ะ” อยากจะดึงผมตัวเองถ้าไม่ติดว่าอาจทำให้ผมเสียทรงล่ะก็

จึงทำได้แค่ตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวไป




*-*-*-*-*-*-*-*-*




นาฬิการูปร่างประหลาดบนผนังในบ้านพักตระกูลมัลฟอยบอกเวลา 1 ทุ่มตรง เอ่อ..หรืออย่างน้อยก็ประมาณนั้น

สังเกตได้จากท่าทางของชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่เอาแต่เดินงุ่นง่านอยู่แถวนั้น นาน ๆ ทีก็เหลือบมองมันที

แล้วก็หันไปมองทางเดินที่ทอดไปสู่ห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่อีกที

และบางครั้งก็หยุดเงี่ยหูฟังเสียงรถยนต์ที่อาจจะเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้าน

และในทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตรงเข้ามาในห้อง

ชายหนุ่มรีบหันรีหันขวางก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่และคว้าหนังสือพิมพ์พ่อมดท้องถิ่นมาถือไว้

และเปิดส่ง ๆ ไปที่หน้าในทำทีเป็นอ่านอย่างตั้งใจ ทั้งที่จริงแล้วสมาธิกลับจดจ่ออยู่ที่เสียงเดินที่ค่อย

ๆ ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา จนในที่สุดเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างหน้าชายหนุ่ม

จะมีก็แค่หนังสือพิมพ์กั้นเอาไว้เท่านั้น




“นี่คุณมัลฟอย ชั้นว่าคุณทำงานหนักเกินไปแล้วล่ะค่ะ คุณควรจะพักซะบ้างนะ”

เฮอร์ไมโอนี่พูดกับชายหนุ่มผ่านทางหนังสือพิมพ์




“คุณพูดอะไรของคุณ ผมสบายดี”




“งั้นเหรอ ถ้าคุณสบายดีจริง คุณคงไม่อ่านหนังสือพิมพ์กลับหัวแบบนั้นหรอกนะ”

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเดินไปยืนข้างหน้าต่างมองไปทางถนนเพื่อจะได้เห็นรถพีทได้ถนัด

มัลฟอยซึ่งหายเอ๋อจากการอ่านหนังสือพิมพ์กลับตัวแล้ว มองมาที่หญิงสาวด้วยสายตาหมั่นไส้

ก่อนจะเริ่มเปิดปากเหน็บแหนม




“แหม ๆๆ อดใจรอไม่ไหวเลยเหรอคุณ เดี๋ยวเขาก็มาไม่ต้องรีบร้อนหรอก” ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็หันขวับมาตอบทันที




“ก็แน่ล่ะสิค่ะ คนเขามีใจให้กันมันก็ต้องรออยากจะเจอกันเป็นธรรมดา”

คำตอบของหญิงสาวเหมือนกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ

ชายหนุ่มเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว




“อ๋อ งั้นเหรอ ชอบมันมากใช่มั้ย เพิ่งเจอกันแท้ ๆ คุณนี่มัน...ไวไฟจริง ๆ”

พลางจับต้นแขนหญิงสาวกระชากเข้ามาหาตัว จ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่งาม

เพราะความใกล้ชิดทำให้หญิงสาวอดหวั่นไหวไม่ได้ เฮอร์ไมโอนี่เผลอเลียริมฝีปากตัวเองเบา ๆ อย่างประหม่า

ทำให้มัลฟอยมองตามลิ้นเรียวนั้นอย่างหลงใหล ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวลงมาช้า ๆ

เป้าหมายอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

แต่ก่อนที่ริมฝีปากทั้งสองจะแตะกันนั้นเองเสียงรถยนต์ก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพัก

เฮอร์ไมโอนี่จึงรู้สึกตัวถอยห่างออกมาและหลบสายตาคมเข้มคู่นั้นด้วยการเฉไฉมองออกไปนอกหน้าต่าง

ก่อนจะค่อย ๆ เบี่ยงตัวหลบให้พ้นจากชายหนุ่มและเดินไปที่ประตู

แต่ก็นึกขึ้นได้จึงหันกลับมาแกล้งพูดให้ชายหนุ่มหึงเล่น




“อ้อ ไม่ต้องรอนะค่ะ คุณมัลฟอย เพราะชั้นคงกลับดึก” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากบ้านพักไป

โดยทิ้งชายหนุ่มให้โมโห(หึง)อยู่เพียงลำพัง..




หลังจากมื้ออาหารค่ำแสนธรรมดาผ่านไป เฮอร์ไมโอนี่ก็กลับมาถึงบ้านพัก

หญิงสาวแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความโล่งอกที่สามารถหลุดพ้นจากความน่าเบื่อที่พีทบรรจงประเคนให้ตลอดเวลาที

่นั่งทานอาหารด้วยกัน ดึกมากแล้วเมื่อหญิงสาวมาถึงบ้าน

แต่ชาช่าก็ยังคงรอเปิดประตูให้กับเธอซึ่งทำเอาเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกผิดเป็นอันมาก

หลังจากใช้เวลาอยู่นานขอโทษขอโพยเอลฟ์ตัวน้อยแล้ว

หญิงสาวจึงเดินเข้าห้องไปโดยไม่รู้ว่านอกจากชาช่าแล้วยังมีคนอีกคนหนึ่งที่คอยการกลับมาของเธอ




มัลฟอยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาเล็กในห้องสมุด ดูจากสีหน้าที่แดงกล่ำ ดวงตาหรี่ปรือ กับแก้วใสในมือ

ก็พอเดาได้ว่าเขาดื่มไปไม่น้อย ทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่ออกไปกับพีท เขาก็เรียกหาเครื่องดื่ม “เพื่อลืมเธอ”

จากชาช่ามาดื่มแก้เซ็งทันที (ของมึนเมา น้อง ๆ อย่าเอาอย่างนะค่ะ)

เขานั่งดื่มอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานมากจนตอนนี้สติสัมปชัญญะของเขาลดระดับลงมาไม่ถึงครึ่ง

และเขาคงจะดื่มต่อไปถ้าชาช่าไม่เข้ามาห้ามไว้




“พอเถอะเจ้าค่ะ นายน้อยดื่มเยอะแล้วนะเจ้าค่ะ” ชาช่าพยายามเข้าไปแย่งแก้วในมือนายแต่ไม่สำเร็จ




“ยุ่งน่า ชาช่า แล้วนี่เขากลับมาหรือยัง” มัลฟอยถามเสียงอ้อแอ้นิด ๆ




“กลับมาแล้วค่ะ เมื่อกี้นี่เอง”




“อะไรนะ!!! ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ บ้าชะมัดเลย” มัลฟอยตะคอกเอลฟ์ตัวน้อยจนหูกระดิก

ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง และผลุนผลันออกไป




ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ห้องของหญิงสาวอย่างรวดเร็วด้วยแรงหึง ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น

เขาคว้าลูกบิดประตูและบิดอย่างแรง แต่มันล็อคจากด้านใน ตัวเขาจึงกระแทกเข้ากับประตูอย่างจัง

มัลฟอยสะบัดหัวไล่ความมึนงงอยู่สักครู่ก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาร่ายคาถาเปิดประตู

เสียงคลิ๊กปลดล็อคประตูดังขึ้นเบา ๆ เขาค่อย ๆ บิดประตูอย่างช้า ๆ

ให้มีเสียงน้อยที่สุดเท่าที่สติปัญญามึน ๆ ของเขาจะทำได้ ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ

ห้องแต่เขาก็ไม่พบตัวเจ้าของห้องที่เขากำลังตามหาอยู่

เขาเปิดประตูกว้างขึ้นและเดินเข้ามาข้างในห้องพลางกวาดสายตาไปจนทั่วและมาหยุดลงที่ประตูห้องน้ำ

มีแสงไฟลอดออกมาจากช่องใต้ประตู เขารู้ทันทีว่าหญิงสาวอยู่ในนั้นและกำลังอาบน้ำอยู่

มัลฟอยใช้สติที่ยังเหลือคิดคำนวณอยู่ในใจ

เขาควรจะออกไปรอข้างนอกก่อนจนกว่าเธอจะแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยกลับมาเรียกเธอดีกว่า

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มหันหลังเตรียมตัวจะเดินออกไป และทำเหมือนเขาไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน

แต่เมื่อเขากำลังจะก้าวขาออกไปเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น

โดยสัญชาตญาณเขาจึงหันไปมองดูและมัลฟอยก็ต้องตกตะลึงตาค้างกับสิ่งที่เห็นแทบจะหายเมาเลยทีเดียว

ไม่ใช่เพราะว่าได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของหญิงสาว อันที่จริงมันมีผ้าเช็ดตัวพันอยู่แล้ว

ไม่ถึงกับโป๊แค่อวดเนินเนื้ออกอิ่มกับช่วงขาเรียวดูเซ็กซี่เล็ก ๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มตาค้างก็คือใบหน้านั้นต่างหาก ใบหน้าที่เขาคุ้นเคย กับดวงตาสีน้ำตาล

และผมฟูฟ่องที่เคยสัมผัส มัลฟอยครางออกมาเบา ๆ




“เฮอร์ไมโอนี่ เธอจริง ๆ ด้วย” ตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีคนอยู่ในห้องด้วย

แถมยังเป็นคนที่เธออยากจะปกปิดความลับนี่เอาไว้มากที่สุด

หญิงสาวเปิดประตูออกมาอย่างปกติและกำลังจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าแล้วก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอ

ในนาทีแรกที่ได้ยินหญิงสาวคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

พอลองหันไปดูเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงประตูคือเดรโก มัลฟอย

ไม่มีถ้อยคำใด ๆ หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเนื่องจากหญิงสาวตกใจเกินกว่าจะนึกคำพูดได้ทัน




“....เป็นเธอจริง ๆ ด้วยเฮอร์ไมโอนี่ ชั้น........” ยังไม่ทันที่มัลฟอยจะได้พูดอะไรมากไปกว่านี้

หญิงสาวก็กระโจนมาข้างหน้าและใช้กำลังทั้งหมดที่มีดันชายหนุ่มให้ออกไปจากห้องโดยที่ก็ต้องพยายามไม่ให้ผ้

าเช็ดตัวหลุดจากร่างด้วยเช่นกัน เมื่อมัลฟอยที่ไม่ทันตั้งตัวกระเด็นออกไปจากห้องลงไปนั่งคลุกฝุ่นแล้ว

หญิงสาวก็ปิดประตูโครมก่อนหันไปคว้าไม้กายสิทธิ์มาร่ายมนตร์ใส่ประตูเพื่อกันไม่ให้ชายหนุ่มใช้คาถาเข้ามา

ได้อีก หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้าประตูอย่างเหนื่อยอ่อน เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้

เสียงทุบประตูดังขึ้น หญิงสาวสะดุ้งอย่างตกใจกระชับไม้กายสิทธิ์ในมือแน่น




“เฮอร์ไมโอนี่ เปิดประตูหน่อย ชั้นอยากคุยกับเธอ ได้โปรด เราต้องคุยกันนะ

เธอรู้มั้ยว่าชั้นคิดถึงเธอมากแค่ไหน เฝ้าตามหาเธอทุกที่ ทำทุกวิธีทางเพื่อให้เจอเธอ

แต่ชั้นก็ไม่เคยทำสำเร็จ แล้วเธอกลับอยู่ใกล้แค่นี้ อยู่ตรงหน้าชั้นตลอดเวลา ทำไมชั้นโง่อย่างนี้นะ

เฮอร์ไมโอนี่ เปิดประตูให้ชั้นที”




“ไม่ ไปให้พ้น ชั้นไม่อยากคุยกับนาย ไปนะ” หญิงสาวยังไม่พร้อมจะคุย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

เวลานี้เธอต้องการพัก มันกะทันหันเกินไป บางทีคงเป็นพรุ่งนี้ก็ได้




“ได้ เฮอร์ไมโอนี่ ได้ เราจะคุยกันพรุ่งนี้ แต่เธอต้องสัญญานะว่าเธอจะไม่หนีชั้นไปอีก นะเฮอร์ไมโอนี่”

มัลฟอยอ้อนวอนเสียงสั่น




“ชั้นอยากอยู่คนเดียว” หญิงสาวบอกเสียงแผ่ว มัลฟอยจึงจำใจต้องล่าถอยออกมา แต่ไม่ใช่ยอมแพ้

แค่ให้เวลาหญิงสาวได้เตรียมตัวบ้างเท่านั้น




“ชั้นได้เธอกลับมาแล้ว ชั้นจะไม่ยอมให้เธอจากชั้นไปอีกแน่นอน ชั้นสาบาน”

มัลฟอยพึมพำกับตัวเองและจ้องบานประตูอย่างแน่วแน่มั่นคง

โดยที่อีกฟากของประตูเฮอร์ไมโอนี่กำลังนั่งพิงประตูและหลับตาลงอย่างอ่อนล้า




*-*-*-*-*-*-*-*-*

ตอนที่ 18 Happy Ending (จบซะที)




เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ แง้มประตูห้องนอนพร้อมกับโผล่หน้าออกมาอย่างช้า ๆ พลางกวาดสายตาไปรอบบริเวณนั้น

เมื่อมองจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนที่กังวลถึงทั้งคืนยืนแอบซ้อนอยู่แถวนั้นมุมใดมุมหนึ่ง

หญิงสาวจึงดึงประตูให้กว้างขึ้นพร้อมกับก้าวออกมาจากห้อง

แต่ยังไม่ทันที่จะพ้นกรอบประตูหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างยาว ๆ

ที่วางขวางอยู่หน้าห้องจนหัวคะมำลงไปนั่งพับเพียบกับพื้น

และยังไม่ทันที่จะได้สำรวจร่างกายตัวเองว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงร้องเบา ๆ

ดังมาจากข้างหลังตรงที่ที่เธอสะดุดอะไรบางอย่างล้มนั่นล่ะ

หญิงสาวจึงรีบหันกลับไปดูและก็ได้พบกับภาพของมัลฟอยในถุงนอนสีน้ำเงินเข้มกำลังเอามือกุมท้องตัวงออยู่กับ

พื้น สีหน้าบ่งบอกความเจ็บปวดริมฝีปากเผยอน้อย ๆ แต่ไม่มีเสียงใด ๆ รอดออกมา




เนื่องจากมันยังเช้าอยู่มาก

และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีประกอบกับถุงนอนสีเข้มที่มัลฟอยใช้แทนเตียงนอนเมื่อคืนนี้

ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่เห็นว่ามีอะไรหรือใครมาขวางหน้าประตูห้องของเธอ จึงเตะเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ




“นี่นายมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงฉุน

และพยายามไม่สนใจมัลฟอยที่แกล้งครวญครางอย่างเจ็บปวดเอามือกุมท้องบิดไปบิดมา

พลางปรายตามาทางหญิงสาวแบบอ้อน ๆ และในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็ยอมแพ้กับลูกด้านของมัลฟอย

เข้าไปช่วยประคองให้มัลฟอยลุกขึ้นก่อนจะพาไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด

หลังจากดูจนมัลฟอยจอมสำออยนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงผละออกมา

แต่มีหรือที่คนอย่างมัลฟอยจะยอมให้เป็นแบบนั้น เขารีบคว้ามือของหญิงสาวแล้วดึงเอาไว้เบา ๆ

แต่เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่อยู่ในจังหวะที่กำลังหมุนตัวเพื่อหันหลังจะเดินออกไปจึงไม่ทันตั้งตัวเสียหลักล้

มลงไปนั่งบนตักของมัลฟอยอย่างพอดิบพอดี (คนแต่งเองก็จงใจมาก ๆ )

ชายหนุ่มจึงถือโอกาสนี้กอดเอวบางเอาไว้ทันทีโดยไม่สนใจอาการดิ้นรนสุดริ้ดของหญิงสาวจนในที่สุดเฮอร์ไมโอน

ี่ก็จำต้องหยุด

เพราะเล็งเห็นแล้วว่าต่อให้ดิ้นไปก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากอ้อมแขนแข็งแรงที่กำลังโอบกระชับรอบตัวเธอแน่ ๆ

และหันมาใช้สงครามวาจาแทน




“นี่ ไหนว่าเจ็บท้องไง หลอกกันหรือไง ถ้ารู้ว่านายนอนอยู่ตรงนั้นนะ จะเตะให้แรงกว่านี้เลยคอยดู”

เฮอร์ไมโอนี่พูดแบบงอน ๆ

และเนื่องจากหญิงสาวนั่งหันหลังให้จึงไม่เห็นว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้กำลังยิ้มแก้มแทบปริแค่ไหน

ตลอดคืนเขากังวลแทบตายว่าพอเจอหน้ากันแล้ว มันจะออกมาเป็นแบบไหน จนเผลอหลับไป

แต่พอมันออกมาในรูปแบบนี้แล้วเขาค่อยโล่งใจ




“จะทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ ไม่สงสารกันเลยรึไง เมื่อคืนอุตส่าห์มานอนตากยุงทั้งคืนเพื่อใครกัน ฮึ ใจร้าย”







“ใครเขาขอให้นายมานอนหน้าห้องล่ะ อยากมาเองช่วยไม่ได้” รู้ทั้งรู้ว่าชายหนุ่มคงไม่เห็น

แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่วายแลบลิ้นให้




“มาเพราะรักแท้ ๆ กลับโดนว่าซะได้...” แล้วมัลฟอยก็บ่นต่อไปอีกเล็กน้อย

แต่เฮอร์ไมโอนี่ชะงักตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว ‘รัก งั้นเหรอ นี่เขาหมายความว่ายังไงกันนะ เขาคิดแบบนั้นจริง

ๆ หรือแค่ต้องการล้อเราเล่นเท่านั้น’ เฮอร์ไมโอนี่เอาแต่คิดวุ่นวายจนไม่ได้สนใจฟังมัลฟอย

จนชายหนุ่มต้องเรียกชื่อเธอหลาย ๆ ครั้งกว่าที่หญิงสาวจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา




“.....เฮอร์ไมโอนี่ ๆ...เป็นไรไป อยู่ ๆ ก็เงียบไปซะเฉย ๆ ไม่สบายหรือเปล่า”

พลางเอื้อมมือมาข้างหน้าเพื่อจะจับหน้าผากหญิงสาว แต่เธอเบี่ยงตัวหลบให้พ้นมือนั้น ก่อนจะตอบเบา ๆ




“เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่เมื่อไหร่นายจะปล่อยชั้นซะทีล่ะ ชั้นไม่อยากนั่งตักนายแบบนี้ เมื่อยจะตายชัก”

หญิงสาวพยายามแก้มือปลาหมึกที่โอบเอวของเธออยู่พลางดิ้นยุกยิก ๆ ไปมา

จนมัลฟอยต้องกระชับอ้อมแขนให้มากขึ้นจนแผ่นหลังของหญิงสาวแนบแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวกับอกกว้างของมัลฟอย

ชายหนุ่มเอาคางขึ้นมาเกยไว้บนบ่าของหญิงสาว พร้อมกระซิบที่ข้างหู




“ก็นั่งให้มันเต็มที่สิ อย่าเกร็ง ไม่ต้องกลัวว่าชั้นจะหนักด้วย ตัวเธอเล็กนิ้ดเดียว

ให้นั่งแบบนี้ตลอดไปเลยก็ได้นะ” เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงเมื่อสัมผัสกับลมหายใจอุ่น ๆ

ของมัลฟอยที่ไล้อยู่ข้างหูทุกครั้งที่เขาขยับปากพูด




“บ้า ใครจะไปอยากตัวติดกับนายกัน” หญิงสาวพูดอุบอิบอยู่ภายในลำคอ พลางก้มหน้างุด

แต่ก็ยอมปล่อยตัวให้นั่งได้เต็มที่มากขึ้น เงียบกันไปสักพักมัลฟอยก็พูดขึ้น




“นี่ เฮอร์ไมโอนี่ ยกโทษให้ชั้นได้มั้ย ชั้นรู้ว่าที่ชั้นทำมันเลวร้ายกับเธอมาก ๆ แต่ตลอดเวลา 5

ปีที่ผ่านมาชั้นเองก็เจ็บปวดไม่แพ้เธอเหมือนกัน ยิ่งชั้นพยายามลืมเธอเท่าไหร่

ชั้นกลับคิดถึงเธอมากขึ้นเท่านั้น ต้นเหตุมาจากชั้น ชั้นคนเดียว เพราะเรื่องตลกบ้า ๆ ของชั้น

มันทำให้มีแต่คนเจ็บปวด และที่สำคัญชั้นทำให้คนที่ชั้นรักมากที่สุดต้องร้องไห้

เธอรู้มั้ยวันนั้นที่ได้เห็นน้ำตาของเธอ ชั้นถึงได้รู้ตัวว่าชั้นทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ชั้นมันเลว

เลวจริง ๆ.....”




มัลฟอยดันตัวเฮอร์ไมโอนี่ให้ยืนขึ้นแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยให้หญิงสาวลงไปนั่งแทน

ส่วนตัวเองก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าหญิงสาวแทน จับมือบอบบางทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยมือแข็งแรงของตัวเอง

ยืดตัวให้ตาเสมอตาพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งาม




“เธอจะยกโทษให้ผู้ชายเลว ๆ คนนี้ได้มั้ย

ยกโทษให้กับคนที่มันทำพลาดไปแล้วได้มั้ย...ยกโทษให้คนที่รักเธอที่สุดในหัวใจได้มั้ย

เฮอร์ไมโอนี่...ชั้นรักเธอนะ”




เฮอร์ไมโอนี่ตาโตด้วยความตกใจไม่คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ออกมาจากปากผู้ชายที่หยิ่งยะโส

ทะนงในชาติตระกูล อย่างเดรโก มัลฟอยคนนี้ หญิงสาวจ้องเข้าไปในดวงตาสีซีดอย่างค้นหาความจริง

พลางส่ายหน้าช้า ๆ




“ชั้นจะเชื่อใจนายได้อีกเหรอ มัลฟอย

ชั้นจะสามารถเชื่อใจคนที่ทำลายความรักของชั้นอย่างไม่ใยดีมาครั้งหนึ่งแล้วได้อีกยังงั้นหรือ

ชั้นควรทำไง มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงสั่นเบาหวิว




“ทำตามหัวใจเธอไง มันบอกว่าไงเธอก็ทำตามนั้น”




“ถ้ามันบอกว่าไม่ล่ะ...นายจะทำไง”




“ถ้าเป็นแบบนั้น........” มัลฟอยเงียบไปอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเอาแต่ใจ

แววตาหนักแน่นมั่นคง “.....ชั้นก็จะทำทุกวิถีทางจนกว่ามันจะให้อภัยชั้น

เพราะชั้นไม่สามารถมองดูเธอเดินจากไปได้อีกแล้ว ไม่ว่ายังไงชั้นก็ไม่ยอม

ชั้นจะไม่ยอมเสียเธอไปอีกครั้งแน่”




“มัลฟอย...หัวใจคนเรามันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ ถ้ามันบอกว่าไม่ ไม่ว่านายจะพยายามเท่าไหร่มันก็คือไม่”

มัลฟอยอ้าปากค้างอย่างตกใจกับคำพูดของหญิงสาวที่เขารัก นี่เขาจะต้องเสียเธอไปอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

เขาคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว




“แต่เฮอร์ไมโอนี่..........”

พูดได้แค่นั้นมัลฟอยก็ต้องเงียบเสียงลงเนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมือมาปิดปากชายหนุ่มเอาไว้




“นายจะไม่ฟังเสียงหัวใจของชั้นก่อนเหรอ แล้วจากนั้นนายอยากจะพูดอะไรชั้นจะไม่ขัดนายอีกแล้ว”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาอีก หญิงสาวจึงเอามือที่ปิดปากเขาออก




“หัวใจชั้นมันบอกว่า...” หญิงสาวเกิดอาการลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าต่อไป

“...มันยังเจ็บมัลฟอย และคงไม่สามารถลืมเหตุการณ์นั้นได้ง่าย ๆ...”

มัลฟอยก้มหน้ามองมือตัวเองที่กุมมือหญิงสาวนิ่ง กลั้นใจฟังต่อโดยไม่โวยวายทั้ง ๆ ที่อยากจะแย้งใจจะขาด

“....และมันบอกว่า....มันให้โอกาสนายแก้ตัวอีกครั้งเดียวเท่านั้น...”

ทันทีที่สมองวิเคราะห์ความหมายของประโยคนั้นกระจ่าง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง

เพื่อที่จะพบกับใบหน้าหวานที่ยิ้มบาง ๆ ให้กับเขา รอยยิ้มที่เขาไม่ได้เห็นมานานแสนนาน

รอยยิ้มที่เขารักที่สุด “...และมันยังบอกอีกว่า...ถ้าครั้งนี้นายทำพลาดอีก

นายจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว นายจะยอมรับข้อเสนอนี้มั้ย”




มัลฟอยยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้

ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาวให้มากขึ้นจนริมฝีปากเกือบจะแนบสนิทก่อนจะเอ่ยออกมาเบา ๆ




“ผมรับครับ” พูดจบมัลฟอยก็ก้มลงจูบหญิงสาวอย่างแผ่วเบา ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็จูบตอบเช่นกัน หญิงสาวค่อย ๆ

เอื้อมมือมาโอบรอบคอชายหนุ่ม จูบนี้เต็มไปด้วยความโหยหายของความรักที่เหินห่างกันไปแสนนาน

จูบหวานแผ่วเบาในตอนแรกค่อย ๆ เร่งเร้า และเร้าร้อนมากขึ้น มือของชายหนุ่มค่อย ๆ

ป่ายเปะปะไปตามหลังบอบบาง ไล่ขึ้นมาที่ต้นคอของเฮอร์ไมโอนี่นวดเบา ๆ

ก่อนจะกดท้ายทอยหญิงสาวเพื่อให้จูบนี้ยิ่งแนบแน่นมากขึ้น แต่ก่อนที่อะไร ๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านี้

ก็มีอะไรบางอย่างเข้ามาขัดจังหวะอย่างน่าเสียดาย




“เอ่อ..คือว่า...” ทั้งสองผละออกจากกันแทบไม่ทัน

มัลฟอยรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

ส่วนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกโล่งอกที่มันหยุดก่อนที่จะเกินควบคุม

ชาช่าที่น่าสงสารที่บังเอิญเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจยืนทำหน้าจ๋อยเมื่อเห็นสายตาที่เจ้านายหนุ่มส่งมาให้

และเป็นโชคดีของมันที่วันนี้มัลฟอยอารมณ์ดีเกินกว่าจะลงโทษ แต่ก็ยังไม่วายเสียงดัง




“มีอะไร” เสียงดังของมัลฟอยทำให้เอลฟ์ตัวน้อยที่ปกติตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งตัวเล็กมากขึ้นไปอีก

มันตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ จนเฮอร์ไมโอนี่ที่มองอยู่สงสารต้องเข้ามากอดปลอบ

พร้อมส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ชายหนุ่ม




“มีอะไรจ๊ะ”




“เอ่อ คือคุณพีทมาหาคุณผู้หญิงที่มากับนายน้อยนะค่ะ ไม่ทราบว่าเธอหายไปไหนแล้วเจ้าค่ะ”

หลังจากหายจากอาการหวาดผวาเจ้านายหนุ่มแล้วเอลฟ์น้อยจึงบอกธุระที่ต้องทำให้มาขัดจังหวะนายน้อยของมันกับผ

ู้หญิงคนใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้า (ก็คนเดียวกันล่ะอิหนู)




“อ้อ ไปบอกพีทนะ ว่าคุณอาวน์วาซน่ะ เขากลับบ้านไปแล้ว และคงไม่มีทางกลับมาอีกแล้วล่ะ ตัดใจจากเขาซะเถอะ

ตามนี้เลยนะชาช่า” มัลฟอยเป็นคนตอบ ซึ่งเอลฟ์ตัวน้อยก็เดินท่องคำสั่งของเจ้านายออกไป




“นายหมายความว่าไงที่ว่าอาวน์วาซจะไม่กลับมาอีกแล้วน่ะ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่หันมาคาดคั้น

ซึ่งมัลฟอยเดินเข้าไปกอดเอวเธออย่างหลวม ๆ ก่อนจะตอบ




“ก็ชั้นจะรักเธอทีเดียวพร้อมกันสองคนได้ยังไงล่ะ ใช่ม้า แล้วก็นะ ชั้นเคยบอกเธอไว้ว่าไง

ห้ามเรียกมัลฟอยไงไม่งั้นจะต้องถูกทำโทษ” พูดจบก็ก้มลงจูบขมับหญิงสาวเร็ว ๆ หนึ่งที “ฮ้า ชื่นใจจัง

นี่แค่เตือนความจำ คราวหน้าถ้าลืมอีกจะโดนหนักกว่านี้ ปะ..เราไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า”

ก่อนจะจูงเฮอร์ไมโอนี่ออกไป หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลง ๆ กับนิสัยของเจ้าชายของเธอ




*-*-*-*-*-*-*-*-*-*




บทส่งท้าย




วันนี้เป็นวันที่มัลฟอยมีความสุขที่สุดอีกวันหนึ่ง

เพราะวันนี้เป็นวันที่เขากำลังจะได้แต่งงานกับคนที่เขารักมากที่สุด

หลังจากวันนั้นเขาก็ขอเธอแต่งงานทันทีซึ่งหญิงสาวก็ไม่ปฏิเสธ

พวกเขาได้พิสูจน์ความรักกันมามากเกินพอแล้ว ต่อไปนี้พวกเขาควรจะมีความสุขกันซะที ชีวิตนี้มันสั้นนัก

หากมีสิ่งไหนที่สามารถทำให้มีความสุขแล้วล่ะก็ ควรที่จะรีบทำมันทันที อย่าปล่อยให้มันผ่านไป

เพราะไม่สามารถเรียกมันกลับมาได้อีกแล้ว




งานแต่งงานในวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เนื่องจากเดรโก มัลฟอยจะแต่งงานทั้งที ใครบ้างจะไม่อยากมา

หลังจากจบพิธีในโบสถ์ก็มาถึงงานเลี้ยงที่เจ้าสาวต้องการให้จัดงานกลางแจ้ง

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีขาวไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะ ดอกไม้ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ๆ

ที่มัลฟอยกลับอยากให้ใช้สีดำมากกว่า (นายจะจัดงานศพหรืองานแต่งย่ะ : เฮอร์ไมโอนี่)

แม้จะขลุกขัลกในช่วงเตรียมงาน แต่พอถึงวันจริงทุกสิ่งทุกอย่างก็ออกมาสมบูรณ์แบบสมกับที่เจ้าสาวตั้งใจไว้

(แม้เจ้าบ่าวจะแอบบ่นเล็กน้อย)




ระหว่างที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นอยู่นั้นเอง

เสียงแสบแก้วหูก็ดังขึ้นที่หน้าทางเข้างานจนแขกเหรื่อพร้อมใจกันหันไปมอง ก็ได้พบเข้ากับหญิงสาวหน้าตาดี

หุ่นทรมาณใจชายหลายคนกำลังเดินเบียดเสียดพูดจากระทบกระทั่งกันอยู่ตลอดเวลาและต่างรีบเดินตรงรี่เข้ามาทาง

ที่คู่บ่าวสาวยืนอยู่ให้ได้เป็นคนแรก พอมาถึงก็ต่างแย่งเข้ามาเกาะแขนมัลฟอย

โดยไม่สนใจเจ้าสาวที่โดนเบียดกระเดนไปอยู่ข้าง ๆ




เฮอร์ไมโอนี่ส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้มัลฟอยก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปนั่งกับเพื่อนรักแฮรี่

และรอนที่โต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่ข้างเวที มัลฟอยที่ตอนนี้หน้าซีดเผือดพยายามแกะมือปลาหมึกของสาว ๆ

พวกนี้ออกให้จงได้ เมื่อไม่สำเร็จจึงต้องเรียกผู้ช่วยมาจัดการเหมือนเช่นเคย

เนื่องจากเฮอร์ไมโอนี่ยึดไม้กายสิทธิ์ของชายหนุ่มไปเก็บไว้ก่อน

เพราะกลัวว่ามัลฟอยจะมีเรื่องเขาจึงทำอะไรไม่ได้




“เอมมี่ นี่เธอลบความจำแม่พวกนี้แน่แล้วเหรอ ทำไมถึงยังมาวุ่นวายกับชั้นได้อีกล่ะเนี่ย โอ๊ย

ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ” พวกผู้หญิงพวกนี้คือคนที่มัลฟอยเคยควงอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะทิ้งไป

และสั่งให้เอมมี่ เลขาส่วนตัวช่วยลบความทรงจำเพื่อไม่ให้มาวุ่นวายกับเขาทีหลัง




“ดิชั้นลบแล้วนะค่ะ แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมพวกเขาถึงจำได้”

เอมมี่เองตอนนี้ก็เข้ามาอยู่ในเกมชักกะเย้อมัลฟอยด้วยเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่เอมมี่มาช่วยดึงดาว ๆ

ออกจากตัวชายหนุ่มต่างหาก ในที่สุดเพื่อน ๆ

ก็มาช่วยกันดึงสาวน้อยทั้งหลายออกจามัลฟอยได้สำเร็จแล้วพาไปอีกทางจนเสียงแปร๋น ๆ ทั้งหลายค่อย ๆ

เงียบลงในที่สุด มัลฟอยไม่รอช้ารีบตรงไปหาเจ้าสาวของเขาที่นั่งหน้างออยู่กับแฮรี่

และรอนโดยมีจินนี่และแพนซี่นั่งอยู่ข้าง ๆ แฟนหนุ่มของพวกเธอ




“เฮอร์ไมโอนี่ อย่าเข้าใจผิดนะ มันไม่มีอะไรแล้ว คือ ชั้นยอมรับว่าชั้นเคยรู้จักพวกเขาก็จริง

แต่ชั้นไม่เคยคิดอะไรกับพวกนี้เลย ชั้นสาบานเลยนะ ชั้นรักแค่เธอคนเดียวเท่านั้น”

มัลฟอยในตอนนี้ไม่เหลือเค้าของคุณชายผู้เย่อหยิ่งอีกต่อไป กลายเป็นลูกแมวเชื่อง ๆ

ที่กำลังจ๋อยเพราะถูกเจ้าของจับได้ว่าแอบขโมยกินปลาย่าง

พวกเพื่อนต่างแอบหัวเราะเป็นการใหญ่เมื่อได้เห็นสภาพของมัลฟอยในเวลานี้




“ชั้นพอรู้แล้วล่ะ ว่าใครจะเป็นใหญ่หลังจากงานวันนี้” รอนพูดกับคนในโต๊ะ

ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มัลฟอยหันไปมองรอนอย่างไม่พอใจ




“นายเงียบไปเลยวิสลี่ ไม่ช่วยก็อย่าพูดมาก”




“นี่ อย่ามาว่าเพื่อนชั้นนะ นายนั่นล่ะผิด ไหนบอกว่ารักชั้นคนเดียวไง

แล้วไหงถึงไปยุ่งกับแม่พวกนี้ได้ล่ะ ตั้งหลายคน หลอกกันอีกแล้วเหรอ”

เฮอร์ไมโอนี่แหวเสียงแหลมกับเจ้าบ่าวตัวแสบ




“ก็แบบว่า..แบบตอนนั้น..มัน...คือ แบบว่า..ไม่ได้ตั้งใจอ่ะ เขามาเอง ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว จริง ๆ นะ

สาบานเลยจ๊ะ ให้เคร้าเมอร์ลินเป็นพยานเลยก็ได้” มัลฟอยชูสามนิ้วอย่างขึงขัง




“นายสาบานแล้วนะ ถ้านายผิดคำพูดล่ะก็...น่าดู” เฮอร์ไมโอนี่คาดโทษชายหนุ่มเอาไว้

ซึ่งมัลฟอยก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เรียกเสียงฮาจากเพื่อน ๆ ร่วมโต๊ะอีกครั้ง

“งั้น....พวกเธอก็ออกมาได้แล้วล่ะ”

สิ้นเสียงของเฮอร์ไมโอนี่หญิงสาวตัวป่วนทั้งหลายก็พากันเดินออกมาจากหลังเวที

ทำเอามัลฟอยอ้าปากค้างอย่างงุงงนประคนแปลกใจ




“นี่มันอะไรกัน เฮอร์ไมโอนี่” มัลฟอยถามหญิงสาวอย่างสงสัยสุดขีด แต่คนที่ตอบกลับเป็น..แพนซี่!!




“ก็นายเคยได้ยินเรื่อง ‘การแก้แค้นของเฮอร์ไมโอนี่’ มั้ยล่ะ นี่ล่ะ

คนพวกนี้เฮอร์ไมโอนี่จ้างมาเพื่อแกล้งนายไงล่ะที่นายเคยวางแผนไปหลอกเขาน่ะ โดนเอาคืนแล้ว สมน้ำหน้า”




“งั้นก็หมายความว่า...นี่เธอ แล้วทุกคนรู้กันหมดเลยเหรอ”

มัลฟอยจ้องหน้าทุกคนอย่างเอาเรื่องซึ่งแต่ละคนก็พยามเก๊กไม่ให้หลุดยิ้มออกมา

แต่ก็ทำได้ยากจนในที่สุดจินนี่จึงดึงแฮรี่ให้ลุกออกมาจากโต๊ะเป็นคู่แรก และรอนกับแพนซี่เป็นคู่ต่อมา

ปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งเจ้าบ่าวของตัวเองได้อยู่กับมัลฟอยตามลำพัง

แต่ก่อนที่จะได้อยู่ตามลำพัง สาว ๆ ตัวป่วนก็พูดขึ้นกับชายหนุ่มว่า




“แล้วช่วยส่งเช็คไปให้เราที่บ้านด้วยนะค่ะ” ก่อนจะหันไปหาเฮอร์ไมโอนี่ “มีอะไรเรียกใช้ได้ตลอดเวลานะค่ะ

ค่าจ้างงาม ๆ แบบนี้ ยินดีทำให้ทุกอย่างเลยค่า”




มัลฟอยซึ่งสงสัยสิ่งที่สาว ๆ พูดกับเขาจึงหันมาถามหญิงสาวเบา ๆ

“พวกเขาหมายความว่าไงที่ว่าให้ส่งเช็คไป”




“ก็...ชั้นจ้างเขาในชื่อของนายเพราะงั้นนายต้องเป็นคนจ่ายค่าจ้างยังไงล่ะ แล้วไม่ใช่ถูก ๆ ด้วยนะ”

เฮอร์ไมโอนี่กระซิบบอกจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายให้กับชายหนุ่มฟัง ทำให้ชายหนุ่มครางออกมาเบา ๆ

ทำไมถึงมากขนาดนี้นะ




“เธอนี่มันตัวแสบจริง ๆ เลยนะ เฮอร์ไมโอนี่ คอยดูเถอะ

คืนนี้ชั้นจะให้เธอจ่ายมากกว่าที่ชั้นต้องเสียให้กับผู้หญิงพวกนั้นอีก เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะ”

มัลฟอยส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้กับหญิงสาวโดยแฝงความนัยเอาไว้ด้วย จนเฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงด้วยความเขินอาย

แต่ก็เอนตัวเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ ใบหูชายหนุ่ม




“ชั้นก็ตั้งใจจะจ่ายให้นายอยู่แล้ว” พร้อมกับมองตาชายหนุ่มอย่างมีความหมาย

บัดนี้สองหัวใจที่เคยต้องพลัดพรากจากกันไปไกล ได้กลับมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

และตราบที่ดวงอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก

ตราบนั้นความรักครั้งนี้ก็จะมั่นคงเช่นเดียวกัน




THE END

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น