วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แล้วพบกันใหม่ (edit your past) ตอนที่ 1-8 -จบ-

นิยายเรื่องนี้ไม่ได้แต่งเองนะค่ะ
ลิงค์นี้นะค่ะ
http://www.yimwhan.com/board/show.php?user=icu11&topic=32&Cate=11

แล้วพบกันใหม่ (edit your past) ตอนที่ 1-8 -จบ-
fic by..tom_emma

part 1

ในยามเช้าของปลายฤดูใบไม้ผลิ เหล่าบรรดาต้นไม้ดอกไม้นานาชนิดต่างก็ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพลิงต้อนรับฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาเยือน สายลมอ่อนๆพัดผ่านอย่างสดชื่น ถึงแม้จะเปิดเรียนมาเป็นเวลากว่า 2เดือนแล้ว แต่ยังมีบางคนในหอกริฟฟินดอร์ที่ยังคงเศร้าซึมอยู่ไม่เปลี่ยนไป

บรรยากาศในโรงเรียนฮอกวอตส์แห่งนี้ ไม่ได้มีแต่งเสียงหัวเราะคิกคักทั้งวันอีกแล้ว นักเรียนจากบ้านต่างๆเกือบจะทุกคน เมื่อมีเวลาว่างต่างจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องข่าวการกลับมาของ”คนที่รู้ว่าใคร” กระทรวง เวทย์มนต์ได้มีการออกกฎหมายใหม่เพื่อความปลอดภัยและรัดกุมยิ่งขึ้น หนังสือพิมพ์เดลี่พรอเพร็ตทุกฉบับ จะมีการสอนการป้องกันตัวจากผู้เสพความตายสอดแทรกอยู่ด้วย

ในยามเช้าของหอกริฟฟินดอร์ที่ห้องนั่งเล่นรวม เด็กสาวผมสีน้ำตาลฟูยังคงนั่งรอเพื่อนของเธออยู่ที่โซฟาสีแดงข้างเตาผิงเหมือนอย่างเช่นเดิม และไม่นานก็ปรากฏร่างของเพื่อนสนิทเธอทั้งสองอยู่ที่ปลายบันได

“พวกเธอสายไป 5 นาทีนะ” เด็กสาวพูดขึ้นพลางยกมือทั้งสองเท้าเอวแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา คนมันง่วงนี่” เด็กหนุ่มผมสีเพลิงที่ตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่และตัวสูงขึ้นมากกล่าวขึ้นอย่างหน่ายๆ

“นายน่าจะไปเรียนการใช้คำแก้ตัวที่ดูดีกว่านั้นหน่อยนะ รอน” เฮอร์ไมโอนีร้องขึ้นและเดินนำลอดช่องรูปภาพออกไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อทานอาหารเช้า ระหว่างที่เดินไปตามระเบียงทางเดิน มีเด็กบ้านเรเวนคลอสามถึงสี่คนจับกลุ่มคุยกันถึงข่าวคราวของผู้เสพความตาย

“พ่อชั้นสั่งให้ฝึกการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดทุกเย็นช่วงปิดเทอมเลยล่ะ” เด็กหญิงปีสามบ้านเรเวนคลอพูดขึ้น

“จริงสิ พ่อของเธอทำงานที่กระทรวงเวทย์มนต์ใช่มั๊ย” เด็กหญิงอีกคนถามกลับ ซึ่งทำให้เฮอร์ไมโอนีและรอนสะดุ้งเล็กน้อยและหันมามองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น เพราะตั้งแต่เปิดเรียนมา ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่อง “พ่อ” หรือ “สุนัข” เพื่อนสนิทของเขาผู้เป็นเจ้าของรอยแผลรูปสายฟ้า จะต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ และกำหมัดแน่นด้วยความไม่สบายใจทุกครั้ง

“เอ่อ...แฮรรี่? เธอโอเคใช่มั๊ย”เฮอร์ไมฌอนีถามขึ้นมาอย่างระแวดระวัง

“คงใช่” แฮรรี่ตอบอย่าไม่ใส่ใจ และเริ่มจะทำหน้าเครียดซึ่งทำให้รอนสะอึกและไม่กล้าพูดอะไรมากนัก

ทั้งสามเดินไปทานอาหารเช้าในห้องโถงใหญ่ รอนลงมือกวาดทุกสิ่งทุกอย่างที่กินได้ลงท้องของเขาอย่างรวดเร็วจนเฮอร์ไมโอนีเชื่อว่า เขาอาจเอาชนะการแข่งกินกับอุรังอุตังได้ก็ได้

“อ้อ! มีเรื่องไม่น่ายินดีจะบอก” เฮอร์ไมโอนีพูดขึ้นขณะยกน้ำฟักทองขึ้นดื่ม ทำให้แฮรรี่วางตาจากจานอาหารและเงยหน้าขึ้นฟัง ผิดจากรอนที่ยังคงกินต่อไปเรื่อยๆมีเพียงปลายตามามองอย่างอยากรู้เท่านั้น

“ เช้านี้ วิชาคาถา มีการเปลี่ยนจากฮัฟเฟิลพัฟเป็นสลิธีริน” เฮอร์ไมโอนีบอกพลางตักเบคอนเข้าปากอย่างเบื่อๆ

“เธอ-ว่า-ไง-นะ!!!” รอนร้องอย่างผิดหวัง

“อย่าบ่นนักเลยน่า! พวกเธอเรียนแค่วิชาคาถา แต่ไม่ต้องเรียนสมุนไพรวิทยานี่นา แล้วถ้าไม่รู้ชั้นจะบอกให้ว่า ชั้นต้องเรียนวิชาสมุนไพรวิทยากับสลิธีรินอีก!!” เฮอร์ไมโอนีแหวขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลอันน่าสมควรที่รอนจะหยุดเถียงเพราะเขาคิดว่า เฮอร์ไมโอนีโชคร้ายกว่าเขาหลายเท่านัก

“ชั้นว่าเราควรจะไปได้แล้วนะ ...ฟลิตวิกคงไม่ชอบใจถ้าเราไปสาย”แฮรรี่ร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีจะเริ่มเข้าเรียนแล้ว ทั้งสามจึงลุกขึ้นจากโต๊ะแล้ววิงไปยังห้องเรียน

“ ดูนั่นซิ เด็กกำพร้าพ่อกำลังวิ่งไปโรงเรียนแน่ะ” เสียงยานคางดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก ซึ่งทำให้เด็กทั้งสามหยุดนิ่งแล้วหันไปเผชิญหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“มีธุระอะไรมัลฟอย!” รอนตวาดถาม

“ไม่มีกับคนจนๆอย่างนายหรอกวีสลีย์..” มัลฟอยตอบพลางส่งเสียงหัวเราะเยาะอย่างดูถูก แล้วจึงหันกลับมามองอย่างไม่ชอบใจที่แฮรรี่อีกครั้ง

“ไงไอ้หัวแผลเป็นไม่มีพ่อ!” เสียงถากถางดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าสีซีดที่เต็มไปด้วยความดูถูก ในวินาทีนั้น แฮรรี่รู้สึกว่าความร้อนทั้งหมดขึ้นมาอยู่บนหน้าเขา และพร้อมที่จะกระโจนใส่ใบหน้าหยิ่งยะโสนั้นได้ทันที ถ้ารอนไม่ฉุดเอาไว้

“ มันก็ยังดีกว่ามีพ่ออยู่ในคุก!! อย่ายุ่งกับเขามากไปกว่านี้นะมัลฟอย!!!” เด็กสาวร้องเสียงดังพลางก้าวเดินออกมาประจันหน้า และดูเหมือนคำพูดนั้นจะสร้างความเจ็บปวดให้มัลฟอยไม่น้อย

“ อย่าได้ดูถูกพ่อชั้น ยัยเลือดสีโคลนโสโครก!!” มัลฟอยคำรามลอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยว แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ ศาสตราจารย์ฟลิตวิกก็เดินเข้ามาพอดี

“ เกิดอะไรกันขึ้น!! ทำไมไม่ไปเข้าห้องเรียนซะ?” ศาสตราจารย์ฟลิติกถามขึ้น ทำให้ทั้งหมดต้องแยกย้ายจากกันเดินเข้าห้องเรียนไป

“เอาล่ะ อย่างที่ทุกคนรู้ วิชาคาถา เป็นวิชาที่แทบทุกอาชีพต้องการคะแนน สพบส. ระดับ ‘พ’ และชั้นรู้สึกเสียใจกับบางคนที่ไม่สามารถเข้ามาเรียนในชั้นนี้ได้เนื่องจากคะแนน วพรส.ไม่ถึงเกณฑ์” ศาสตราจารย์ฟลิตวิกพูดเกริ่นขณะที่ค่อยๆเดินไปยังหน้าห้องเรียน

“อย่างไรก็ตาม... ในปีนี้ วิชาคาถาจะยากขึ้นเป็นเท่าตัว ชั้นอยากให้ทุกคนใส่ใจให้ดี เอาล่ะ...วันนี้เราจะมาฝึกการใช้คาถาม่านลวงตากัน...” ศาสตราจารย์ฟลิตวิกยังคงพูดต่อไป ซึ่งเป็นการสาธยายว่า คาถานี้เป็นคาถาที่ใช้สำหรับทำให้ศัตรูมองเห็นภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาได้ และยังพูดถึงหลักทฤษฎียากๆที่จะไม่สามารถเข้าใจได้เลยถ้าไม่มีระดับมันสมองมากกว่าหรือเทียบเท่าเฮอร์ไมโอนี หลังจากจบชั่วโมงนี้ แฮรรี่ รอนและเฮอร์ไมโอนีเดินออกจากห้องเรียนเป็นกลุ่มท้ายๆ ซึ่งรอนเอาแต่พูดบ่นว่า

“ชั้นคงจะกลายเป็นนักวิชาการด้านเวทย์มนต์ได้ไม่ยากถ้าเรียนจบวิชาทฤษฎีศาสตร์กับฟลิตวิก”

“ แต่ชั้นว่าไม่หรอกนะรอน เพราะชั้นไม่เห็นว่าเธอจะจดตามที่อาจารย์พูดเลย และจะเป็นยังไงถ้าทฤษฎีนั้นมีอยู่ในข้อสอบ สพบส.” เฮอร์ไมโอนีหันมาพูดกับรอนด้วยสีหน้าตำหนิเล็กน้อย

“ก็ใครจะไปมีสมองใหญ่เท่าเธอกันล่ะ?” รอนเถียงตอบ

“เอาเถอะ ..ชั้นต้องไปเรียนสมุนไพรศาสตร์...แล้วเจอกัน” เฮอร์ไมโอนีโบกมือให้พวกเขาพลางก้าวเดินไปยังเรือนกระจก

“ชั้นว่ายัยนั่นไม่เหมาะที่จะทำงานในเซนต์มังโกเลย...ถ้าเป็นครูอย่างมักกอนากัลล่ะว่าไปอย่าง” รอนหันมาพูดกับแฮรรี่ที่ยักไหล่เล็กน้อย

“แต่ว่ามันก็เหมาะตรงที่เธอมีความรับผิดชอบสูงนะ” แฮรรี่บอกก่อนจะออกเดินนำรอนไปยังห้องเรียนต่อไป



เด็กสาวเดินออกมาจากตัวปราสาทเพื่อจะมุ่งหน้าไปยังเรือนกระจกหมายเลข1 อากาศในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิยังคงอบอุ่นและมีสายลมเย็นสบายพัดมาปะทะกับร่างเธอ

“เฮ้อ...ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยกว่าจะเริ่มวิชาสมุนไพรศาสตร์...จะไปทำอะไรดีนะ”เด็กสาวพึมพำเบาๆคนเดียวแต่ดูเหมือนคำถามนี้จะมีคำตอบได้อย่างรวดเร็วเมื่อเธอเห็นใครบางคนที่เธอไม่เคยคิดอยากจะเห็นหน้าเดินตรงมาที่เธอ’คนเดียว?’

“ เลือดสีโคลนอยู่คนเดียวงั้นรึ หรือว่าแม้แต่องครักษ์ทั้งสองก็ยังขยะแขยงเธอกัน?”เสียงถบสดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผิวสีซีดที่ดวงตาของเขา จ้องมองอย่างรังเกียจมาที่เธอ

“แล้วนายล่ะ? ลูกน้องโง่เง่าไปไหนซะล่ะ? อ้อ! จริงสิ ชั้นลืมไปว่ามีคนนึงไปอยู่ในคุกพร้อมๆกับพ่อนายนี่นา” เฮอร์ไมโอนีร้องตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าสีซีดนั้นแดงขึ้นด้วยความโกรธ

“นี่เป็นครั้งที่สองในวันนี้ที่เธอใช้ปากสกปรกมาดูถูกพ่อชั้น!!!”มัลฟอยคำรามลอดไรฟันพลางเดินย่างสามขุมเข้ามาที่เด็กสาวที่ค่อยๆเดินถอยหลังอย่างหวั่นกลัว

“เป็นอะไรไปล่ะเกรนเจอร์ผู้ชาญฉลาด... เมื่อกี๊ยังปากดีอยู่เลยนี่...ทำไมถึงต้องกลัวขนาดนั้นด้วยล่ะ” มัลฟอยร้องถามเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ แต่เด็กสาวกลับได้ยินมันชัดเจนทุกคำพูด ใบหน้าของเด็กหนุ่มตอนนี้ดูเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง เฮอร์ไมโอนีถอยหลังไปจนสุดกำแพงปราสาท แต่ยังคงข่มความกลัวไว้ด้วยแววตาที่จ้องตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว

“ชั้นไม่เคยคิดกลัวนาย..มัลฟอย!!” บัดนี้เสียงของเด็กสาวสั่นขึ้นมานิดๆแม้ว่าเธอจะพยายามเปล่งเสียงให้เป็น ปรกติก็ตาม ซึ่งมัลฟอยเองก็สังเกตได้เช่นกัน เขาโน้มตัวลงมาใกล้เธอจนใบหน้าแทบจะชิดกัน รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเขา

“ถ้างั้น...ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยล่ะ?... เธอรู้อะไรมั๊ยว่า ตอนนี้มีเพียง “เรา”ที่อยู่นอกปราสาท ฉะนั้นชั้นจะทำอะไรเธอมันก็ไม่ยากเกินไปหรอกจริงมั๊ย?” มัลฟอยถามด้วยเสียงต่ำเยียบเย็น ดวงตาสีซีดจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่น้ำตาลของเด็กสาว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ และความกลัวเข้ามาครอบคลุมทั่วร่างจนเธอถึงกับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น

“เฮอะ! ทำเป็นปากเก่ง เอาเข้าจริงก็กลัวจนตัวสั่น” มัลฟอยร้องเยาะเย้ย ในขณะที่เธอยังคงตกใจกลัวอยู่ เด็กหนุ่มย่อตัวลงในระดับเดียวกันกับเฮอร์ไมโอนีซึ่งสะดุ้งเฮือกทันที แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“สบายใจได้เลย...ชั้นไม่คิดจะทำอะไรกับพวกมักเกิลสกปรกมีมลทินจากไอ้พอตเตอร์หรอก”คำพูดเหยียดหยามจากปากของมัลฟอยทำให้เฮอร์ไมโอนีโกรธจนตัวสั่น และโดยไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าขาวซีดของมัลฟอยก็หันไปตามแรงของฝ่ามือบอบบางของเด็กสาว เกิดเสียงดัง ‘เพียะ’ขึ้นอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง

“ชั้นไม่เคยมีมลทินอะไรกับใครทั้งสิ้นมัลฟอย... และชั้นไม่เคยคิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากพวกเลือดบริสุทธิ์มีตระกูลด้วย!!!” เฮอร์ไมโอนีร้องด้วยเสียงต่ำเยือกเย็นและสั่นรัว มีน้ำใสๆคลออยู่ที่ดวงตาทั้งสองของเธอ

มัลฟอยใช้มือข้างซ้ายกุมใบหน้าที่ปวดแสบจากแรงตบของเด็กสาวไว้ด้วยความอึ้ง และพูดอะไรไม่ออก นี่ถือเป็นครั้งที่สองที่เขาโดนเด็กสาวคนนี้ตบหน้า

“แล้วรู้เอาไว้ซะด้วยนะมัลฟอยว่า ร่างกายชั้นน่ะ บริสุทธิ์กว่านิสัยเน่าๆของนายเยอะ!!!” เฮอร์ไมโอนีร้องพลางลุกขึ้นและตรงไปยังเรือนกระจก แต่เธอก้าวเท้าไปได้ไม่เท่าไรก็โดนบางอย่างรั้งแขนเอาไว้

“เดี๋ยวซิเกรนเจอร์!! เธอกล้าเอามือสกปรกมาตบหน้าชั้นแล้วมันไม่จบง่ายๆหรอกนะ!!”มัลฟอยดึงแขนเธอไว้ได้แต่เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเด็กสาวหันหน้ากลับมา ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องกลับมาที่เขาด้วยความโกรธเคืองแฝงไปด้วยรอยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มบอกถึงความอ่อนไหว เฮอร์ไมโอนีกระชากแขนกลับอย่างรวดเร็วแล้วหันหลังออกเดินต่อไป

“เดี๋ยวซิเกรนเจอร์!! ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะหมายความอย่างที่เธอเข้าใจ.....”มัลฟอยร้องเรียกและดึงเธอหันกลับมาแต่ครั้งนี้เฮอร์ไมโอนีก้มหน้านิ่ง

“ ชั้น....เกลียดนาย...!!” เฮอร์ไมโอนีร้องออกมาเสียงต่ำแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธเคือง แล้วเธอก็ออกวิ่งไปเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์ทันที ปล่อยให้เด็กหนุ่มผมบรอนซ์ทองยืนมองตามไปจนลับตา


part 2

หลังจากหมดชั่วโมงสมุนไพรศาสตร์ เฮอร์ไมโอนีเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อจะไปพบแฮรรี่และรอนที่รอเธออยู่ที่นั่น

“ไงเฮอร์ไมโอนี... เรียนเป็นไง?” แฮรรี่ถาม

“ก็ดี” เธอตอบห้วนๆแล้วนั่งลงเพื่อทานอาหารเที่ยง

“แล้วเธอไม่ทานอะไรหรือแฮรรี่?” เฮอร์ไมโอนีถามก่อนจะตักสตูเนื้อเข้าปากตัวเอง

“ชั้นกินเสร็จแล้วน่ะ” แฮรรี่ตอบและเด็กสาวก็ยักไหล่เชิงว่า “งั้นหรอ”

ในขณะที่รอนยังคงกินอย่างเมามัน และไม่สนใจอะไรรอบตัวเพราะเขาต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักในการยัดอาหารลงท้องด้วยความเร็วไวกว่าเสียง และเฮอร์ไมโอนีต้องขมวดคิ้วแล้วขยับชามข้าวและตัวเธอออกให้ห่างจากรอน เพราะเศษข้าวและเศษอาหารมักจะกระเด็นมาถูกเธอทุกครั้งไป

“ เฮ้อ..ชั้นล่ะเบื่อวันนี้จริงๆ...มีเรียนกับพวกสลิธีรินเยอะแยะ” แฮรรี่ร้องขึ้นในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้พูดอะไรตอบเพราะเธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงมัลฟอย แต่รอนกลับพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็วราวกับเขาไม่มีกระดูกที่คอ

“และชั้นว่าเราไม่ควรเข้าเรียนวิชาของสเนปสายนะ” แฮรรี่พูดพลางดูนาฬิกาข้อมือ

“งั้นไปกันเหอะ” เฮอร์ไมโอนีร้องขึ้นแล้วลุกจากโต๊ะพร้อมแฮรรี่

“รอชั้นด้วย!!” รอนร้องเรียกแล้วรีบวิ่งตามไป

ทั้งสามเดินตรงไปยังคุกใต้ดิน เพื่อความมั่นใจ พวกเขาจึงมักจะเผื่อเวลาในการมาเรียนวิชาปรุงยา เพราะพวกเขาไม่คิดอยากจะให้บ้านต้องเสียแต้มมากๆเพียงเพราะการมาสาย

“ โอ๊ะๆๆ มากันแล้ว ผู้มีชื่อเสียงของเรา” เด็กสาวสลิธีรินคนหนึ่งร้องขึ้น และมีเสียงหัวเราะอีกหลายเสียงดังตามมา

“แหมๆๆ จะว่ายังไงนะถ้าชั้นจะไปขอลายเซ็นพอตเตอร์ผู้ชี้ให้คนทั้งโลกรู้ถึงการกลับมาของคนที่รู้ว่าใคร”เสียงแหลมๆของแพนซี่ พากินสันดังขึ้น

ตอนนี้อารมณ์โกรธได้แผ่พุ่งขึ้นมาในตัวของแฮรรี่อีกครั้ง เขาพยายามอดกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด ในขณะที่รอนหันไปมองกลุ่มสลิธีรินพวกนั้นด้วยสายตาที่เหมือนเห็นแมงมุมยักษ์

“ใจเย็นไว้เฮอร์ไมโอนี เย็นไว้..” เด็กสาวท่องพึมพำเป็นการคุมสติตัวเอง ในขณะที่เสียงหัวเราะยังคงดังไม่หยุด

“จริงสินะ จากพอตเตอร์ผู้โกหกกลายเป็น พอตเตอร์วีรบุรุษของทุกคน” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มสลิธีรินนั้น แฮรรี่จำได้ว่าเขาอยู่ปี7 แต่ไม่รู้ชื่อเขา

“เขาสำคัญขนาดที่ว่า พ่อทูนหัวของเขายอมสละชีวิตปกป้องเชียวนะ” เสียงยานคางของมัลฟอยดังขึ้นจากในกลุ่มนั้น และทันใดนั้น ความอดกลั้นของแฮรรี่ก็หายไปจนปลิดทิ้ง เฮอร์ไมโอนีที่สังเกตเห็นและรู้ได้ในทันทีว่าเพื่อนเธอจะทำอะไร เด็กสาวรีบเงื้อมือหวังที่จะหยุดการกระทำนั้น

“อย่านะแฮรรี่!!!” แต่ช้าไปแล้ว แฮรรี่ชักไม้กายาสิทธิ์ขึ้นมาชี้ไปที่มัลฟอยทันที

“ ริคตัสเซ็มปรา!!!” แต่ลำแสงที่พุ่งออกไปนั้นถูกเบี่ยงไปเพราะเฮอร์ไมโอนีใช้ปลายนิ้วปัดแขนแฮรรี่ได้ทัน

มัลฟอยโดนลำแสงนั้นถากไปที่ไหล่แต่ก็ถึงกับกระเด็นไปไกลพอสมควร

เกิดเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจจากนักเรียนคนอื่นๆรอบข้าง เนวิลล์และเชมัสที่เพิ่งเดินผ่านมาถึงกับตะลึงค้างแต่ดีนกลับหัวเราะที่มุมปากด้วยความชอบใจ

“ใครส่งเสียงเอะอะกันในชั่วโมงของชั้น!!” เสียงเย็นและเฉียบขาดดังขึ้นเป็นลางร้ายให้กับกริฟฟินดอร์ ศาสตราจารย์เสนปหันมามองแฮรรี่และเพื่อนโดยไม่ต้องสงสัยและเมื่อเห็นว่าผู้เสียหายคือ มัลฟอย แล้ว ดวงตาสีดำก็หรี่มองมาที่แฮรรี่อย่างเอาเรื่อง

“มิสเตอร์พอตเตอร์...เธอคิดว่าการที่มีชื่อเสียงจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เธอคิดผิดแล้วล่ะ โดยเฉพาะกับชั้น”เสียงครางต่ำและเสียงหายใจเข้าจากคนรอบข้างดังขึ้นเมื่อเสนปพูดจบ

“หัก30แต้มจากกริฟฟินดอร์” เสนปพูดด้วยเสียงเฉียบ โดยที่ไม่มีเด็กกริฟฟินดอร์คนไหนกล้าโวยวายเลยแม้แต่น้อยเพราะพวกเขารู้ดีว่า จะเป็นอย่างไรหากโต้แย้งกับเสนป

“เธอควรจะไปห้องพยาบาลซักหน่อยนะ มิสเตอร์มัลฟอย” เสนปหันกลับมาพูดกับเด็กหนุ่มผิวซีด ที่ใช้มือหนึ่งกุมไหล่ตัวเองไว้

“ไม่เป็นไรครับ ศาสตราจารย์ แค่ถากๆไป”มัลฟอยตอบแต่ส่งสายตาดุดันไปที่แฮรรี่อย่างโกรธเคือง

“งั้นก็ไปนั่งที่กันได้แล้ว” เสนปกล่าวห้วนๆ

“ เอาล่ะ.. น่าประหลาดใจที่”ใคร”หลายคนยังอุตส่าห์ได้มาเรียนวิชาของชั้นอีก...”เสนปพูดพลางหรี่ตามองที่แฮรรี่จนรอนคิดว่าตาของเสนปอาจจะหลุดออกมาจากเบ้าได้ง่ายๆ

“อย่างไรก็ตาม วิชาปรุงยาในปีนี้ เราจะเรียนการปรุงยาในขั้นสูงกัน เพื่อเตรียมตัวในการสอบสพบส.ในปีหน้า “ เสนปยังคงพูดต่อไปโดยเดินไปรอบๆห้อง

“ วันนี้ชั้นจะสอนพวกเธอในการปรุงยา ย้ายจิต ซึ่งต้องขอเตือนพวกไม่มีสมองไว้ก่อนว่า ยาตัวนี้ หากปรุงผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว จะทำให้เกิดอันตรายขั้นร้ายแรงได้” เสนปเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกร้าวและปรายตาไปทางเด็ก กริฟฟินดอร์และหยุดลงที่แฮรรี่อีกเช่นเดิม

“การย้ายจิต เป็นสิ่งสำคัญสำหรับมือปราบมารเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเสี่ยงอันตราย การย้ายจิตออกมา จะช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดต่อชีวิตได้ แต่การที่จะบังคับ’ร่าง’ที่ไร้จิตนั้นจะต้องผ่านการฝึกอีกมาก ซึ่งชั้นจะไม่ขอพูดถึง..”เสนปยังคงอธิบายโดยที่ดวงตาทั้งสองจ้องมองอย่างกินเลือดกินเนื้อไปที่แฮรรี่ที่รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่อาจารย์ที่เขาเกลียดที่สุดจ้องเขาแบบนี้ แฮรรี่คิดว่าหากจะไม่ทำให้บ้านเขาเสียแต้ม เขาอยากจะตะโกนถามเสนปว่า “ไม่มีอะไรจะมองแล้วหรือไง?” ในขณะที่เสนปสนใจอยู่กับใบหน้าของแฮรรี่ เฮอร์ไมโอนีก็บังเอิญหันไปสบตากับดวงตาสีซีดที่ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เด็กสาวรีบหันกลับอย่างหงุดหงิดทันทีเมื่อนึกถึงนิสัยแย่ๆของมัลฟอยเมื่อตอนเช้า และเมื่อมัลฟอยเห็นท่าทางของเด็กสาว ก็พาลไม่สบอารมณ์ไปด้วย รวมกับไหล่ที่ปวดแปล๊บๆจากแรงคาถาของแฮรรี่ ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้น

“เอาล่ะ จดส่วนผสมและวิธีการปรุงยาที่อยู่บนกระดานนี้ แล้วออกมาหยิบส่วนผสมเองแล้วเริ่มทำได้ ชั้นให้เวลา 1 ชั่วโมง น้ำยาที่ชั้นสั่งต้องกลายเป็นสีฟ้าใส”เสนปกล่าวเสียงดังแล้วตัวหนังสือบนกระดานก็ปรากฏขึ้นทันที

เด็กทุกคนต่างลงมือจดส่วนผสมและออกไปหยิบที่หน้าชั้นเรียน

“อย่าลืมว่า ขี้ฟันของฟิกซี่ต้องใส่ทีละนิดเท่านั้น” เสนปย้ำพลางเดินสอดสายตาไปทั่วห้อง ในขณะที่รอนและเฮอร์ไมโอนีเริ่มต้นแคะขี้ฟันให้ตัวพิกซี่ และรอนก็ต้องร้องครางออกมาเมื่อฟันอันแหลมคมของตัวพิกซี่กัดลงมาบนหลังมือของตน

“ให้ตายสิ!! มือชั้นคงจะด้วนก่อนจะแคะฟันให้ไอ้ตัวประหลาดน่าเกลียดนี่เสร็จ”รอนร้องอย่างไม่สบอารมณ์

ไม่นานนักนักเรียนหลายคนก็เตรียมส่วนผสมเสร็จ รวมทั้งเฮอร์ไมโอนีที่เตรียมเสร็จเป็นคนแรก เธอจึงมีเวลาที่จะไปช่วยเตรียมให้เนวิลล์และแฮรรี่เมื่อเสนปไม่ทันสังเกต

“ แฮรรี่! ระวังมือนะ... เธอต้องจับแบบนี้” เด็กสาวกระซิบเสียงเบา พลางจับมือที่ถือไม้แคะฟันของแฮรรี่เพื่อช่วยสอนวิธีแคะฟันที่ถูกต้องให้ แต่การที่เฮอร์ไมโอนีจับมือของแฮรรี่นั้น กลับไม่รอดพ้นสายตาสีซีดของคนๆหนึ่งที่มองมาอย่างแค้นเคือง

เด็กหนุ่มผมบรอนซ์ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ทุกครั้งที่เฮอร์ไมโอนีทำตัวสนิทสนมกับแฮรรี่ มัลฟอยเทขี้ฟันของตัวพิกซี่พรวดใหญ่ลงไปในหม้อของตนอย่างเซ็งๆแล้วคนน้ำยาอย่างมีอารมณ์

“ฮึ!!ชั้นจะไปสนใจอะไรทำไม...ยัยเลือดสีโคลน!” มัลฟอยถบสกับตัวเอง

“เอาล่ะ ตอนนี้น้ำยาของพวกเธอทุกคนควรจะเป็นสีฟ้าใสได้แล้ว ถ้าไม่นับพวกงี่เง่าบางคนที่ยังทำไม่ได้”เสนปร้องขึ้นพลางชายตาอย่างน่ารังเกียจมาที่รอน และแฮรรี่รู้สึกขอบคุณเฮอร์ไมโอนีมาก ถ้าไม่ได้เธอช่วยไว้ล่ะก็ เขาเองก็คงจะโดนด้วยเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่รอนนั่งห่างกับเฮอร์ไมโอนีเกินไป ทำให้เธอช่วยได้ลำบาก

“เอาล่ะ ถ้าพวกเธอทำเสร็จแล้ว ให้แบ่งยาส่วนหนึ่ง ออกมาใส่ขวดเล็กๆ แล้วเติมขนหางจิ้งจอกลงไปผสมให้เข้ากันแล้วนำมาวางไว้ที่โต๊ะชั้น ส่วนน้ำยาที่เหลือให้พวกเธอดื่มมันเข้าไป” เสนปพูดด้วยเสียงเฉียบ และเกิดเสียงดัง

“เฮือก” ขึ้นทั้งห้อง

“เอ่อ...อาจารย์คะ”เด็กสาวบ้านสลิธีรินยกมือขึ้นถาม ทำให้เสนปหันมามองหน้าเธอ

“ถ้าเราดื่มมันแล้ว จะไม่อันตรายหรือคะ?”เด็กสาวคนนั้นถามต่อ แต่เสนปหรี่ตาลงมองอย่างเย็นชาก่อนตอบว่า

“การจะให้กลายเป็นน้ำยาย้ายจิตได้นั้น ต้องมีส่วนผสมของขนหางจิ้งจอก แต่ถ้าเราไม่ใส่มัน มันจะกลายเป็นยาฟื้นตัว ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ เว้นแต่ว่า พวกเธอจะปรุงมันผิด...” ประโยคสุดท้ายนั้น รอนไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่า แต่เขามั่นใจว่าเห็นเสนปหรี่มองมาทางเขา

เมื่อนักเรียนทุกคนตักแบ่งน้ำยาออกไปส่งเสนปที่โต๊ะแล้ว ทุกคนก็ต้องกลับมาดื่นน้ำยาที่ตนทำอย่างหวั่นใจ บางคนหลับตาแล้วยกดื่มทีเดียวหมดแก้ว บางคนก็ปิดจมูกแล้วค่อยยกดื่ม บ้างก็ทำหน้าตาเหมือนกำลังจะกินซากกบตายบูดมา3วัน รอนจ้องมองน้ำยาของตนที่เป็นสีม่วงขุ่นชวนขนลุกแล้วก็เหลือบมองเห็นเสนป ที่จ้องมองเขา ราวกับว่ากำลังพยายามจับผิดเขา

“ถ้าเป็นชั้นล่ะก็.. ชั้นจะเลือกกินน้ำยานั่น ดีกว่าเจอเสนปกักบริเวณเพราะฝ่าฝืนคำสั่งเขานะ”แฮรรี่กระซิบขณะกลั้นใจแล้วดื่มนำยาสีฟ้าใสของเขา

“แน่สิ ก็น้ำยานายเป็นสีฟ้านี่” รอนบ่นเสียงเบาพลางยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

เฮอร์ไมโอนีมองไปรอบๆห้อง ทุกคนดื่มน้ำยาตัวเองเข้าไปหมดแล้ว แต่สักพัก เด็กสาวก็รู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย

“ชั้นไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ นี่มันทำให้ชั้นรู้สึกเบาทั้งตัวเลยล่ะ” เด็กสาวผมฟูร้องบอกอย่างตื่นเต้น

“ชั้นก็คิดงั้นนะ รู้สึกเหือนมีแรงเพิ่มขึ้นตั้งเยอะ” แฮรรี่สมทบและเมื่อหมดเวลา เสนปก็สั่งการบ้าน3ม้วนกระดาษก่อนที่ทุกคนจะเดินออกจากคุกใต้ดิน

“เอ้อ...ถะ ถ้าจะไม่ว่าอะไรนะ ...พวกนายล่วงหน้าไปก่อนเหอะ ชั้นว่าน้ำยาที่ชั้นกินมันออกฤทธิ์แล้วล่ะ” รอนร้องพลางเอามือกุมท้องบิดตัวไปมาอย่างประหลาด แล้ววิ่งไปห้องน้ำทันที ทำให้แฮรรี่หัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน

“ไม่เห็นจะตลกซักนิดเลยนะแฮรรี่! ถ้าเขาเกิดเป็นหนักขึ้นมาจะทำไง”เฮอร์ไมโอนีหันมาติเพื่อนเธอ

“โทษทีๆ มันอดไม่ได้น่ะ”แฮรรี่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อขอโทษ แต่อีกข้างกลับกุมท้องตนไว้เพราะแรงหัวเราะ

“เฮ้อ...วันนี้ก็จบไปอีกวัน...ขึ้นปี6แล้วมันรู้สึกโล่งๆนะ ไม่ต้องเรียนอะไรมากมายด้วย”แฮรรี่พูดขึ้น

“ชั้นไม่คิดงั้นหรอกนะ...อย่าลืมสิแฮรรี่ ว่าแต่ละวิชาของเธอต้องทำคะแนนออกมาให้สูงๆทั้งนั้นแล้วถ้าเธอยังไม่ลืมนะ เธอมีการบ้านวิชาแปลงร่างของมักกอนากัลค้างอยู่ไม่ใช่หรอ” เฮอร์ไมโอนีร้องบอก

“โอ๊ยขอทีเหอะ เธอเลิกพูดเรื่องการบ้านซะทีได้มั๊ย” แฮรรี่บอก ซึ่งทำให้เออร์ไมโอนีชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

“ แล้วเธอล่ะ รู้สึกไงบ้าง?หลังจากที่เรียนหนักมา พอขึ้นปี 6 เธอมีเรียนแค่ไม่กี่วิชาเองนี่”แฮรรี่ถามต่อขณะที่ทั้งสองเดินมาถึงห้องโถงใหญ่เพื่อทานอาหารกลางวัน

“ไม่รู้สิ ก็แปลกๆนะ ชั้นรู้สึกว่ามันว่างๆไงไม่รู้สิ แต่ก็ดีนะ ชั้นจะได้มีเวลาขึ้นห้องสมุดบ่อยๆ”เฮอร์ไมโอนีตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางตักเนื้ออบเข้าปาก

“เฮอร์ไมโอนี..ถามจริงเหอะ..ทำไมเธอถึงเลือกที่จะทำงานในเซนต์มังโกล่ะ?อีกอย่างนะ ถ้าเธอเลือกอาชีพนี้ ทำไมเธอต้องลงเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดด้วย?”แฮรรี่ถามอย่างสนใจ แต่เฮอร์ไมโอนีกลับถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบ

“มันมีหลายสาเหตุนะ..จำวันที่เราไปเซนต์มังโกเพื่อเยี่ยมพ่อของรอนได้มั๊ย...วันนั้นเราเจอแม่ของเนวิลล์ด้วย”เฮอร์ไมโอนีถาม ซึ่งแอรรี่ก็พยักหน้ารับช้าๆ

“ความจริงก่อนหน้านั้นชั้นคิดว่าจะเป็นมือปราบมารล่ะ...แต่ชั้นคิดว่า มันยังมีงานที่เป็นประโยชน์กว่านั้นอีกมาก อย่างเช่น สรรสอ ...” แฮรรี่สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อนั้นแต่เฮอร์ไมโอนีก็พูดต่อ

“วันนั้นพอชั้นรู้สาเหตุที่แม่ของเนวิลล์เป็นอย่างนั้น....ชั้นก็คิดว่าบางที การให้ความร่วมมือในการต่อต้าน โวล..โวลเดอร์มอร์ อาจจะไม่ได้มีเพียงการเป็นมือปราบมาร แต่ใครก็ตามที่ลุกขึ้นสู้และบาดเจ็บกลับมา คนๆนั้นสมควรที่จะได้รับการดูแลและเชิดชูเป็นอย่างดี ...”เฮอร์ไมโอนีตอบแล้วยกน้ำฟักทองขึ้นดื่มก่อนจะพูดต่อ

“มีคนอีกมากมายที่ได้รับบาดเจ็บชนิดต้องฟื้นฟูระยะยาวจากการโดนคำสาปของเขา...เธอก็รู้ใช่มั๊ยว่าเนวิลล์น่ะ พยายามศึกษาเรื่องสมุนไพรขนดไหน เขาเคยบอกชั้นว่าเขาจะพยายามหาตัวยาใหม่ๆที่จะมารักษาอาการของแม่เขาได้ ชั้นเองก็คิดอย่างนั้น... ถ้าชั้นทำงานในเซนต์มังโกแล้วล่ะก็...ชั้นก็คิดจะหาตัวยาใหม่ๆมารักษาคนพวกนั้น

พวกเขาจะได้กลับมาหาครอบครัวของพวกเขาได้” เฮอร์ไมโอนีบอก

“งั้นชั้นกับรอนจะได้เบาใจได้ ถ้าเราโดนคำสาปอะไรเข้าไป เธอจะได้รักษาเราได้”แฮรรี่ตอบยิ้มๆ ซึ่งเด็กสาวก็ยิ้มตอบก่อนจะเลิกคิ้วสูงแล้วบอกเด็กหนุ่มว่า

“ชั้นจะชวยรักษาเธอถ้าเธอไม่ได้โดนคำสาปพิฆาตล่ะก็นะ”เฮอร์ไมโอนีหัวเราะเบาๆ



ทางด้านมัลฟอยที่เดินออกมาจากคุกใต้ดินกับ กอยล์ลุกสมุนของเขาทั้งสองเดินตามระเบียงมายังห้องโถงใหญ่ เด็กหนุ่มผิวซีดจู่ๆก็รู้สึกมึนชาไปทั้งตัว

“กอยล์...ชั้นรู้สึกไม่ค่อยดี...ช่วงบ่ายชั้นจะไม่เข้าเรียนนะ บอกมักกอนากัลด้วยว่าชั้นจะไปห้องพยาบาล”มัลฟอบอก สมุนร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ

“แล้วนายจะไม่กินข้าวหน่อยหรอ”กอยล์ถามอย่างโง่ๆ

“ไม่...ชั้นขี้เกียจกิน...” เด็กหนุ่มตอบเสียงขู่จนกอยล์ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ ตอนนี้มัลฟอยรู้สึกร้อนไปทั้งตัว และมีเหงื่อไหลออกมาตามตัว เด็กหนุ่มหันหลังกลับเพื่อจะไปยังห้องพยาบาล แต่จู่ๆเขาก็ทรุดฮวบลงไปหมดสติกับพื้น

“มัลฟอย!!!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาดังก้องอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มผมบรอนซ์ก่อนที่สติเขาจะดับวูบไป



part 3

ในขณะที่แฮรรี่และเฮอร์ไมโอนีนั่งคุยกันระหว่างรับประทานอาหารเที่ยงเพื่อรอ รอนไปห้องน้ำเนื่องจากดื่มน้ำยาที่ตนเองปรุงผิดจนท้องเสียอย่างหนัก

“นั่นมันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกน่ะ?”แฮรรี่ร้องถามอย่างสงสัย ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองออกไปด้านนอกประตูไม้โอ๊กของห้องโถงใหญ่ เด็กนักเรียนจากบ้านต่างๆจำนวนมากกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง

“หรือว่า...โวล..โวลเดอร์มอร์..เริ่มแผนอะไรอีก”เฮอร์ไมโอนีกระอักกระอ่วนพูดขึ้นอย่างใจไม่ดี

เมื่อแฮรรี่ได้ยินชื่อโวลเดอร์มอร์ เขาลุกขึ้นพรวดจากโต๊ะอาหารกริฟฟินดอร์ แล้วเดินอย่างเร่งรีบไปที่ฝูงคนทันที

“เดี๋ยว! รอชั้นด้วยแฮรรี่!!”เด็กสาวไม่รอช้ารีบลุกแล้ววิ่งตามแอรรี่ไปทันที แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินไปถึงฝูงชน ก็มีเด็กหนุ่มผมสีเพลิงคนหนึ่งแหวกผู้คนเดินตรงมายังเขาทั้งสอง

“รอน!!เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” แฮรรี่ถามรอนทันที

“พวกนายยังไม่รู้หรอ? เมื่อกี๊น่ะ เห็นเค้าว่ามีเด็กปี 6บ้านสลิธีรินเป็นลมตรงระเบียงหน้าโถงใหญ่นี่น่ะ”รอนบอกอย่างหอบๆ บ่งบอกว่าเขาเพิ่งจะวิ่งกลับมาจากห้องน้ำเมื่อครู่

“เค้าว่าหรอ?แปลว่านายก็ไม่เห็นเหมือนกันสิ” เฮอร์ไมโอนีถามกลับ

“แหงสิ..คนมุงดูตั้งมากมายขนาดนั้น ชั้นก็ขี้เกียจจะเข้าไปดูน่ะสิ คนยิ่งปวดๆท้องอยู่”รอนร้องบอกอย่างเซ็งๆ

“คงไม่ใช่ฝีมือของโวลเดอร์มอร์หรอกนะ?”แฮรรี่ถามอย่างกังวลใจ

“โอ๊ย! นายคิดมากไปแล้ว เท่าที่ชั้นได้ยินมาเห็นว่าสาเหตุมาจากกินยาประหลาดที่เสนปบังคับกินในชั่วโมงเมื่อกี๊น่ะแหละ จะเป็นลมไปก็ไม่เห็นแปลก ดูอย่างชั้นยังท้องเสียเลย”รอนว่า ซึ่งทำให้แฮรรี่รู้สึกโล่งใจขึ้นมากทีเดียว

“เอาล่ะ ชั้นหิวจะตายแล้ว อย่าบอกนะว่าพวกนายกินเสร็จกันแล้ว?”รอนถามขึ้นพลางออกเดินนำไปยังโต๊ะ กริฟฟินดอร์เพื่อเตรียมกวาดอาหารลงท้อง

“นี่รอน...เธอเพิ่งจะท้องเสียไปแล้วกินแบบนี้เดี๋ยวก็แย่หรอก” เฮอร์ไมโอนีพูดเตือนพลางสะอิดสะเอียนกับอาการมูมมามของเพื่อนเธอ

“โอ๊ย ก็เพราะท้องเสีย เลยทำให้กระเพาะชั้นว่างน่ะสิ ถ้าไม่หาอะไรใส่ลงไปบ้างล่ะก็ ชั้นก็ตายกันพอดี”รอนบอกพลางตักขาไก่งวงขึ้นมา

“ถ้านั่นเรียกว่า ใส่ลงไป ’บ้าง’ ล่ะก็นะ”เด็กสาวอุบอิบอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

“จริงสิ... ช่วงบ่ายชั้นว่าจะไปห้องสมุดหน่อยนะ “เฮอร์ไมโอนีพูดขึ้น

“แล้วนั่นมันแปลกตรงไหนล่ะ?”รอนเอ่ยลอยๆ โดยที่เฮอร์ไมโอนีพยายามไม่ใส่ใจแล้วพูดต่อ

“ชั้นคิดว่าควรจะทำการบ้านวิชาปรุงยาให้เสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ”เฮอร์ไมโอนีพูดต่อ

“นั่นเธอก็ทำเป็นประจำอยู่แล้วนี่”รอนกล่าวอีกครั้งแต่ครั้งนี้เด็กสาวจ้องมองรอนด้วยสายตาขุ่นเขียวและหงุดหงิด

“ชั้นก็อยากจะรู้นักว่า ถ้าชั้นไม่ช่วยพวกเธอมันจะเป็นยังไง”เด็กสาวลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะ

“แล้วเจอกันตอนเย็น..”เธอพูดห้วนๆก่อนจะเดินจากไป

“นายไม่น่าไปพูดแบบนั้นนะ...รอน”แฮรรี่ขมวดคิ้วไปมองรอน ซึ่งยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“โอ๊ยย ไม่ต้องห่วงน่า...เขาต้องทนไม่ไหวแล้วช่วยพวกเราแน่”รอนว่า ทำให้แฮรรี่ถอนใจอย่างหน่ายๆ

ในเย็นวันนั้น เด็กสาวผมฟูสีน้ำตาลหอบหนังสือตั้งใหญ่จนเกือบมิดหัวเดินมาจนถึงทางเข้าหอกริฟฟินดอร์ แล้วก็พบกับแฮรรี่และรอนที่นั่น พวกเขาสวมชุดควิดดิชสีแดงเพลิง ในมือมีไม้กวาดคู่ใจ และเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน เฮอร์ไมโอนีจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาไปซ้อมควิดดิชมา

“เฮ้! เฮอร์ไมโอนี... นั่นเธอจะเอาพวกนั้นมาทำอะไรน่ะ?”รอนร้องทักพลางเบ้หน้าอย่างเอียนๆ

“ไม่เห็นต้องถาม...ชั้นไม่เอามากินก็แล้วกัน” เด็กสาวหันไปตอบแล้วสะบัดหน้าหันกลับอย่างไว้ตัวแต่แล้วสายตาก็ต้องไปสะดุดอยู่กับร่างสีซีดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“มัลฟอย...”เฮอร์ไมโอนีร้องเสียงเข้ม คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันด้วยความไม่สบอารมณ์

“เธอว่าไงนะ เฮอร์ไมโอนี?” แฮรรี่ร้องถามทันทีที่ได้ยินเด็กสาวพูดถึงศัตรูของตน พลางหันหน้ามองหาเขาคนนั้นไปรอบทิศทางเหมือนที่รอนกำลังทำ ท่าทางของเพื่อนชายทั้งสองทำให้เฮอร์ไมโอนีไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

“เขาอยู่นั่นไง...พวกเธอไม่เห็นหรือ?” เฮอร์ไมโอนีชี้ไปทางด้านตรงข้ามของรูปสุภาพสตรีอ้วน ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งสองก็มองตามพลางทำหน้างง

“เธอละเมอรึเปล่าน่ะ?”รอนถามคิ้วขมวด ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนีตกใจและไม่เข้าใจอย่างมาก เธอหันไปมองที่เด็กหนุ่มผมบรอนซ์ที่บัดนี้ยืนสแหยะยิ้มอย่างกวนๆอยู่ตรงหน้าเธอ

“เอ้อ...เมอร์ลินเป็นพยาน...นี่ชั้นไม่ได้ฝันไปสินะ...เอาล่ะ ...” เด็กสาวพึมพำกับตัวเองและสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อตั้งสติ

“แฮรรี่ รอน...พวกเธอช่วยเอาหนังสือพวกนี้ไปวางไว้ที่ห้องนั่งเล่นรวมให้ทีสิ ชั้นนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ห้องสมุดน่ะ ชั้นว่าจะกลับไปเอา” เด็กสาวพูดขึ้นพลางทุ่มหนังสือลงในแขนรอนจนรอนคิดว่า เด็กสาวที่มีแขนบอบบางอย่างเธอ ทำไมจึงสามารถยกหนังสือพวกนี้ได้หมด

“เธอไปเอาพรุ่งนี้ก็ได้นี่...”แฮรรี่ท้วง “นี่มันก็เย็นมากแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ...เอ้า พวกเธอเข้าไปก่อนเหอะ” เฮอร์ไมโอนีดันหลังแอรรี่และรอนเพื่อให้ทั้งสองลอดรูปภาพเข้าไปก่อน แล้วจึงหันหน้าอย่างรวดเร็วกลับมาที่ตัวปัญหา

“นาย...ทำไม..”เด็กสาวยังไม่ทันพูดจบ มัลฟอยก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ชั้นว่าเราควรจะไปหาที่ๆสงบกว่านี้คุยนะ”มัลฟอยเอ่ยขึ้นพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นทำให้เฮอร์ไมโอนีสะดุ้ง และถอยหลังไปด้วยความกลัวสอง สามก้าว

“ชั้นหมายความว่า.. คนอื่นคงจะมองว่าเธอประหลาดที่ยืนคุยคนเดียวน่ะ” มัลฟอยพูดต่อด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะเยาะ ทำให้เฮอร์ไมโอนีรู้สึกอายมากที่เธอคิดเลยเถิด เด็กสาวไม่ได้พูดอะไร เธอออกเดินตรงไปยังสุดระเบียงทางเดินที่ปลอดผู้คน แล้วหันกลับมาถามทันที

“ทำไมถึงไม่มีใครเห็นเธอเลย!” เฮอร์ไมโอนีร้องถาม ซึ่งมัลฟอยก็ทำหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย

“ชั้นจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะเกรนเจอร์..” เขาตอบห้วนๆยกมือขึ้นกอดอกแต่มือหนึ่งตั้งขึ้นและสัมผัสบริเวณใต้คางเหมือนใช้ความคิด

“เท่าที่ชั้นรู้ คนอื่นไม่มีใครมองเห็นชั้น แล้วชั้นก็สัมผัสตัวเขาไม่ได้ด้วย เพิ่งจะมีเธอนี่ล่ะที่เห็นชั้น”มัลฟอยตอบ

เด็กสาวเมื่อได้ฟังก็ยื่นมือออกมาช้าๆและค่อยๆสัมผัสมือลงบนแก้มสีซีดข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ที่ทันใดนั้น ใบหน้าสีซีดนั้นดูเหมือนจะมีสีชมพูปรากฏขึ้นเล็กน้อย มัลฟอยหรุบตาลงต่ำทันทีและรู้สึกประหลาดกับบางสิ่งที่ดังก้องอยู่ในใจของเขา เฮอร์ไมโอนีรู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่สัมผัสกับปลายนิ้วมือและแผ่ซ่านเข้ามาในใจเธออย่างประหลาด

“เย็นจัง...” เด็กสาวจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีซีด ที่จ้องกลับมาที่เธอนิ่งราวกับเวลาหยุดไหล

“เอ่อ...แล้วเธอ...ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ...ตั้งแต่เมื่อไรกัน” เฮอร์ไมโอนีถามพลางชักมือกลับอย่างเขินอายเมื่อเธอรู้สึกตัวขึ้นมา

“ ชั้นคิดว่าน่าจะเป็นเพราะน้ำยานั่น...ชั้นรู้สึกแปลกๆตั้งแต่กินยานั่นเข้าไป...ชั้นก็ไม่รู้สินะ” มัลฟอยบอก

“หมายความว่า...เธอตายแล้ว?” เด็กสาวกระอักกระอ่วนถาม

“ถ้าชั้นตายไปเธอคงดีใจสิยัยฟู...แต่เสียใจนะที่ชั้นยังไม่ตาย...ดูเหมือนร่างชั้นจะอยู่ที่ห้องพยาบาล”มัลฟอยตอบอย่างฉุนๆ

“อ้อใช่...น่าเสียดายนะที่ยังไม่ตายน่ะ”เด็กสาวเลิกคิ้วตอบอย่างเซ็งๆ พลางออกเดินไปห้องพยาบาล

ตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไป มีเพียงเฮอร์ไมโอนีกับมัลฟอยเพียงแค่สองคนเท่านั้น และนั่นก็เป็นบรรยากาศที่สงบพอให้ทั้งคู่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เฮอร์ไมโอนีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้ไปจับใบหน้าของเขา อาจเป็นเพราะสายตาของเด็กหนุ่มตอนนั้นดูบอบบาง อบอุ่นและอ่อนโยน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ตอนนี้นายน่ะ..เป็น....วิญญาณสินะ” เด็กสาวถาม โดยไม่ได้หันไปมองหน้าฝ่ายตรงข้าม

“คงงั้น”มัลฟอยตอบห้วนๆ

“ไม่นึกว่าชั้นจะมองเห็นนายเลยนะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนีพูดขึ้น

“เฮอะ..อย่าสำคัญตัวนักเกรนเจอร์... ชั้นไม่เคยอยากให้เธอเห็นชั้นอยู่ในสายตาเธอนักหรอก”มัลฟอยร้องบอกพลางเบ้หน้ารังเกียจ

“อ๋อ..เหรอ..งั้นก็โทษทีนะที่ชั้นต้องมาเห็น แต่ชั้นว่าการมองเห็นเธอนี่คงเป็นโชคร้ายของชั้นมากกว่า เพราะชั้นไม่เคยคิดอยากจะเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย”เด็กสาวหันมารัวใส่ด้วยสายตาดุดันก่อนจะหันกลับไปด้วยความหงุดหงิดแล้วเริ่มออกเดินต่อไป เมื่อมาถึงห้องพยาบาล เด็กสาวรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่เงียบผิดปกติ

“ขอโทษค่ะ...”เฮอร์ไมโอนีร้องหยั่งเชิงพลางเดินเข้ามาในห้องพยาบาลช้าๆ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา

“อะไรกัน มาดามพรอมฟรีย์ไม่อยู่หรอกหรือ”เด็กสาวบ่นพึมพำและสายตาก็ต้องไปหยุดอยู่ที่เตียงด้านในสุด ผ้าม่านสีขาวโบกพลิ้วตามแรงลม ด้านหลังผ้าม่านบางนั้น มีร่างเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนหลับใหลอยู่ ผมสีทองบรอนซ์เป็นประกายยามที่แสงอาทิตย์กระทบ เฮอร์ไมโอนีค่อยๆเดินตรงไปยังร่างที่นอนทอดกายอยู่นั้น

“มัลฟอย...มัลฟอย นี่นาย....ตื่นซี่” เด็กสาวก้มหน้าลงจนเกือบชิดติดกับร่างเด็กหนุ่มแล้วร้องเรียก แต่ร่างนั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นเลย

“นี่นาย ตื่นได้แล้ว!!” เฮอร์ไมโอนีใช้มือตบที่แก้มของเด็กหนุ่มแรงพอประมาณเพื่อที่จะปลุกให้ตื่น

“หยุดนะเกรนเจอร์! นั่นเธอจะทำอะไรกับร่างของชั้นน่ะ”ร่างที่มีเพียงจิตของมัลฟอยร้องขึ้นอย่างตกใจอยู่ด้านหลัง

“ถ้าร่างชั้นเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง!!” เขายังคงพูดต่อ

“ชั้นก็แค่จะลองปลุกดู ... เผื่อว่าถ้าร่างนี้ตื่นขึ้นนายอาจจะกลับเข้าร่างก็ได้นะ”เฮอร์ไมโอนีตอบอย่างไม่สนใจอะไรเท่าไรนัก แต่ในใจเธอรู้สึกสะใจไม่น้อยที่ได้แกล้งมัลฟอยคืนบ้าง

“ ให้ตายสิ ถ้าเป็นอย่างงี้ต่อไป ซักวันชั้นอาจจะตายไปจริงๆก็ได้”มัลฟอยถอนหายใจและนั่งลงบนเตียงข้างๆร่างของเขาด้วยใบหน้าที่มีความกังวลอยู่ไม่น้อย เด็กสาวมองอย่างใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“กลัวหรอ?” เฮอร์ไมโอนีถาม แต่สายตากลับมองไปที่ร่างไร้วิญญาณที่นอนหลับอย่างสงบ

“เฮอะ!!นั่นเธอละเมอรึไง ? สลิธีริน ไม่เคยมีคำว่ากลัวหรอก...” มัลฟอยรีบร้องออกมาทันควัน แต่เด็กสาวกลับถอนใจหน่ายๆ

“เฮ้อ...ไม่ต้องมาทำวางท่าหรอกน่า ..ชั้นรู้หรอก...ถ้าเป็นชั้น คงทำอะไรไม่ถูกเลยล่ะ” เฮอร์ไมโอนีตอบโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับร่างนิทราของเขา แล้วเธอก็พูดต่อ

“นี่มัลฟอย...ชั้นว่านะ ถ้านายนอนอยู่นิ่งๆอย่างนี้เฉยๆก็ดูดีเหมือนกันนะ...เอ้อ..ชั้นหมาถึงดูเป็นมิตรน่ะ”เด็กสาวพูดขึ้นลอยๆแล้วใช้มือลูบผมที่ลงมาปรกหน้าของเขาให้ออกไป แต่นั่นทำให้มัลฟอยหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ

“มิสเกรนเจอร์?...เธอมาทำอะไรรึ”เสียงหนึ่งดังขัดขึ้น มาดามพรอมฟรีย์เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

“เอ่อ...คือว่าหนูปวดหัวนิดหน่อย จะมาขอยาทานน่ะค่ะ พอดีว่ามาเห็นเขา...เอ่อ...”เฮอร์ไมโอนีรีบแก้ตัวทันควัน

“อ้อ...มิสเตอร์มัลฟอยน่ะหรือ...” มาดามร้องขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เอ่อ...เค้าเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ...”เฮอร์ไมโอนีเห็นว่าคงจะดีไม่น้อยถ้าได้รู้สาเหตุหรือเรื่องราวมากกว่านี้ จึงลองหยั่งเชิงถามดู

“อืม...เห็นว่าเค้าดื่มยาที่ปรุงผิดเข้าไป จนทำให้กลายเป็นยาดึงวิญญาณน่ะสิ...”มาดามกล่าวอย่างเหนื่อยใจ

“หนูเคยอ่านเกี่ยวกับยานี้...เห็นว่าจะทำให้วิญญาณหลุดออกมาโดยที่ยากที่จะกลับเข้าร่างได้ พวกกองพิจารณาคดีมักจะใช้เพื่อประหารนักโทษ”เด็กสาวพูดขึ้นอย่างชำนาญ

“แต่ยานี้ยังไม่มีทางรักษาไม่ใช่หรือคะ?”เด็กสาวเสียงอ่อยลงเมื่อพูดถึงตอนนี้

“เราได้ส่งเรื่องไปยังเซนต์มังโกแล้วล่ะ และพวกเค้าก็กำลังศึกษาเพื่อจะทำยาแก้อยู่”มาดามพูดอย่างเหนื่อยใจ

“ตอนนี้เราก็ได้แต่หวังว่าวิญญาณเขาจะยังไม่สลายไป...”มาดามพรอมฟรีย์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล

ในเช้าวันต่อมา หลังจากเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมามากมาย เด็กสาวผมน้ำตาลฟูลืมตาตื่นขึ้นในหอพักกริฟฟินดอร์

“นี่มันไม่ตลกเลยนะ!! ทำไมชั้นต้องมาอยู่ในหอพักของพวกชั้นต่ำด้วย!”มัลฟอยร้องอย่างหงุดหงิดและหัวเสียเล็กน้อย เพราะเมื่อคืน เขาแทบจะไม่ได้หลับ เพราะทำใจไม่ได้กับการต้องเข้ามาอยู่ในหอพักที่เขาตีตราว่า ชั้นต่ำ สำหรับเลือดบริสุทธิ์อย่างเขา

“นายอย่าบ่นนักเลยน่า ชั้นก็ไม่ได้อยากให้นายมาอยู่ในห้องชั้นหรอกนะ ถ้าไม่เป็นเพราะว่านายกลับหอพักตัวเองไม่ได้น่ะ” เด็กสาวสวนกลับอย่างระอาทันที เพราะว่ารูปปั้นรูปงูที่อยู่หน้าหอพักสลิธีริน ไม่สามารถได้ยินรหัสที่มัลฟอยพูดออกไปได้ เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถเข้าหอตนเอง (และเขาก็ไม่คิดจะให้เฮอร์ไมโอนีช่วยบอกรหัสให้ด้วย)

“ฮึ! พวกเลือดสีโคลนโสโครก” มัลฟอยบ่นอุบอิบพลางปัดเสื้อคลุมของเขาอย่างพิถีพิถันด้วยความรังเกียจ

แต่ก็ไม่พ้นที่เฮอร์ไมโอนีจะได้ยินแล้วส่งสายตาขุ่นเขียวกลับไปให้อย่างโกรธเคือง เด็กสาวลุกขึ้นแต่งตัวและลงไปทานอาหารเช้า ซึ่งในเวลาเช้าตรู่แบบนี้นั้น แทบจะไม่มีนักเรียนอยู่ในห้องโถงใหญ่เลยซักคนเดียว เด็กสาวมองออกไปนอกบานประตูไม้โอ๊กของห้องโถงใหญ่ ทะเลสาปฮอกวอตส์เงียบสงบ มีเพียงสายลมพัดผ่าน จู่ๆเฮอร์ไมโอนีก็พูดขึ้นมาว่า

“นายน่ะ...ไม่กลัวบ้างหรือ?” เด็กสาวพูดขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองหน้าของอีกฝ่าย แต่สายตายังคงจับจ้องมองตรงออกไปอย่างไร้จุดหมาย

“ถ้าหากว่านายกลับเข้าร่างไม่ได้...จะทำยังไง..ไม่เคยกลัวบ้างหรือไง?”เฮอร์ไมโอนีพูดขึ้นอีกและหันกลับมามองเด็กหนุ่มช้าๆ ในดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีซีดของมัลฟอยจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยของเด็กสาวโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ผ่านมาจากสายตาของเด็กสาว

“ชั้น...อย่าโง่ไปหน่อยเลย...ชั้นคือสลิธีรินนะอย่าลืมสิ...”มัลฟอยพูดตอบและหลบตาลงต่ำ

“นายจะเป็นสลิธีรินหรือใครก็ตาม ถ้านายไม่มีความกลัวในตัว นายก็ไม่ใช่คนหรอกนะ...”เด็กสาวร้องขึ้นพลางนึกเสียใจที่ไปเป็นห่วงคนหยิ่งยะโสแบบนี้ เธอเดินกระแทกเท้ามาจนถึงโต๊ะทานอาหารของกริฟฟินดอร์แล้วนั่งลง

มัลฟอยหันหลังให้เด็กสาวก่อนจะพูดขึ้น

“ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็โกหกน่ะแหละ...แต่ถ้ามัวแต่กลัว...ก็คงไม่ต้องทำอะไรพอดีน่ะสิ” มัลฟอยพูดขึ้นทำให้เด็กสาวชะงักแล้วหันกลับมามอง

“ชั้นน่ะ...สำคัญต่อเธอขนาดที่ต้องเป็นห่วงงั้นหรอ?” เด็กหนุ่มถามพลางเลิกคิ้วสูงแล้วนั่งลงด้านตรงข้ามของเด็กสาว ทำให้เฮอร์ไมโอนีหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ใครนึกอยากเป็นห่วงนายกัน!! ชั้นแค่ยังไม่อยากเห็นตัวเธสทรอลก็เท่านั้น!!นั่นหมายความว่า ชั้นยังไม่อยากเห็นคนตาย..” เด็กสาวร้องตอบเสียงดัง

เมื่อเวลาผ่านไป ดวงอาทิตย์สาดแสงสว่างขึ้นเหนือท้องฟ้า เป็นเวลาที่เด็กทุกคนทยอยลงมาในห้องโถงใหญ่อย่างคึกคัก

“เฮอร์ไมโอนี... เฮ้!!” เสียงเด็กหนุ่มผมสีเพลิงตะโกนร้องทักดังขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ทั้งสองคน” เด็กสาวกล่าวทักเพื่อนทั้งสองที่นั่งลงประจำที่ข้างๆเธอ เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองนั่งลง ก็สร้างความไม่พอใจและหงุดหงิดขึ้นอย่างประหลาดกับมัลฟอยทันที

“ทำไมวันนี้เธอไม่รอเราล่ะ”รอนร้องถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

“ก็เพราะนายมันไอ้หน้ากระวีสลีย์น่ะสิ”เด็กหนุ่มผิวซีดพูดขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด ซึ่งทำให้เฮอร์ไมโอนีเขม่นมองอย่างหงุดหงิดโดยใช้หางตา แล้วจึงหันกลับมาหาเพื่อนทั้งสองเหมือนเดิม

“อ๋อ..โทษทีนะรอน...พอดีชั้นรีบไปห้องสมุดน่ะ” เฮอร์ไมโอนีตอบอย่างละล่ำละลัก

“เฮอะ..พวกเลือดสีโคลนนี่โกหกเก่งอย่างงี้ทุกคนรึเปล่านะ”มัลฟอยเลิกคิ้วพูดขึ้นลอยๆ แต่เด็กสาวก็พยายามทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะเธอไม่ต้องการให้แฮรรี่และรอนจับสังเกตได้

“เออใช่ เฮอร์ไมโอนี เธอเห็นที่บอร์ดประกาศรึยังน่ะ”แฮรรี่ถามพลางเลื่อนจานออกห่างรอนเล็กน้อยเพราะเศษชิ้นเนื้อที่กระเด็นจากจานของเขา

“ไอ้หัวแผลเป็นยุ่งเรื่องชาวบ้าน กับวีสลีย์จอมอดอยาก” มัลฟอยเบ้หน้ารังเกียจและพูดขึ้น เด็กสาวที่เริ่มหมดความอดทนจึงหันขวับไปส่งสายตาขุ่นเขียวให้

“เอ่อ..เฮอร์ไมโอนี เธอเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ ดูเธอหน้าบึ้งๆนะ”แฮรรี่ถามเสียงเบาอย่างกล้าๆกลัวๆ

“เอ่อ..ชั้นไม่เป็นไรหรอก แฮรรี่ ชั้นสบายดี ว่าแต่ถึงไหนแล้วนะ..อ้อ!! บอร์ดประกาศ.. ใช่แล้ว...มันมีอะไรสำคัญรึเปล่าล่ะ?”เฮอร์ไมโอนีรีบแก้ตัวอย่างตะกุกตะกักทันที ซึ่งทำให้แฮรรี่และรอนมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

“เอ้อ...คือ...วันศุกร์นี้ เอ่อ...ก็คือพรุ่งนี้น่ะ...เค้ามีกำหนดการไปฮอกมีดส์กัน”แฮรรี่บอก

“แล้วก็...แฮรรี่ก็คิดว่าเขาจะไปชวนโชน่ะ” รอนพูดขึ้นหลังจากดื่มน้ำฟักทองเข้าไปอึกใหญ่

“คือว่า..หลังจากที่พวกเรามีเรื่องกันที่กองปริศนาปีที่แล้ว ชั้นยังไม่ได้คุยกับโชเลย ก็เลย...” เด็กหนุ่มผมดำขลับพูดขึ้นเสียงเบาและใบหน้าเริ่มเป็นสีชมพู

“ไม่นึกว่าแชงจะตาต่ำขนาดจะยอมคุยกับพอตตี้เลยนะเนี่ย”เสียงถบสดังขึ้น แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวพยายามเมินไม่สนใจ

“ก็ดีนี่แฮรรี่...เพราะชั้นว่าชั้นจะไปคนเดียวเหมือนกันน่ะ คือว่า ชั้น...เอ่อ...มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”เฮอร์ไมโอนีพูดและเหล่มองไปที่มัลฟอยอย่างเหนื่อยๆ

“ถ้างั้น ชั้นจะไปกับใครล่ะ?!” รอนร้องขึ้นอย่างงงๆ

“ก็...นายก็ลองไปขอใครเค้าไปกับนายซักคนสิรอน..” เด็กสาวพูดพลางลุกขึ้นจากโต๊ะ

“ชั้นไปก่อนนะ เพราะว่าชั่วโมงสมุนไพรวิทยาของชั้นกำลังจะเริ่มแล้ว”เด็กสาวพูดต่อแล้วออกเดินไป

“เจอกันที่ห้องนั่งเล่นรวม...”แฮรรี่ตะโกนบอกตามหลังไปแต่เด็กสาวก็ออกวิ่งไปเสียแล้ว



“เรียนสมุนไพรวิทยางั้นเรอะ...ชั้นจำได้ว่าบ้านสลิธีรินไม่มีเรียนวิชานี้วันนี้นี่นา...แล้วเธอจะเรียนได้ยังไงไม่ทราบ”มัลฟอยถามขณะที่เดินตามหลังเฮอร์ไมโอนี

“ชั้นก็บอกไปงั้นล่ะ เพราะชั้นอยากไปทำการบ้านที่ห้องสมุดโดยไม่มีใครรบกวน”เด็กสาวพูดขึ้นและเน้นเสียงที่พยางค์สุดท้ายโดยเขม่นมาที่มัลฟอย

เมื่อเด็กสาวเดินมาจนถึงห้องสมุด เธอก็เดินตรงรี่ไปยังมุมหนังสือวิชาปรุงยาทันที เด็กสาวไล่มือมองหาหนังสือที่เธอต้องการ บ้างก็ดึงออกมาเพื่อเปิดดูด้านใน แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้เธอเริ่มเกิดโทสะขึ้น

“นายหยุดเสียทีได้ไหม!!”เด็กสาวร้องเสียงเบาอย่างหัวเสีย เพราะตอนนี้ เด็กหนุ่มผมบรอนซ์ทอง กำลังหยิบหนังสือต่างๆในชั้นหนังสือออกมาอ่าน โดยที่ทุกเล่มที่ (ทำเป็น) อ่านเสร็จ ก็จะใช้คาถาทำให้มันไปลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเด็กสาว สร้างความรำคาญได้ไม่น้อย

“ก็ชั้นจะอ่านหนังสือนี่ เธอห้ามชั้นไม่ได้หรอก” มัลฟอยตอบอย่างท้าทายกวนอารมณ์

“ทำไมชั้นจะห้ามไม่ได้กัน!! ถ้านายจะอ่านให้มันเหมือนมนุษย์ทั่วไปเค้าอ่านกันล่ะก็...”เด็กสาวพูดค้างไว้เท่านี้ก็ต้องเงียบลงด้วยความตกใจ เมื่อมัลฟอยฟาดมือลงกับชั้นหนังสือแล้วโน้มหน้าคร่อมเธอไว้

“งั้นเหรอ...เธอจะห้ามชั้นยังไงล่ะ” ใบหน้าที่ยิ้มยียวนนั้น ทำไมจึงทำให้เธอรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก เด็กสาวรู้สึกว่าเลือดทั้งร่างกายได้ไหลไปรวมกันอยู่ที่ใบหน้า และหัวใจเธอเริ่มสูบฉีดอย่างรุนแรง

“นะ..นาย...จะทำอะไรน่ะ...”เฮอร์ไมโอนีร้องขึ้นเสียงเบาด้วยความยากลำบาก เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมาจุกอยู่ในคอของเธอ แต่ปราศจากคำตอบจากเด็กหนุ่ม เขาค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ จนเด็กสาวรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่ร้อนรุ่มอยู่ตรงใบหน้าเธอ ตอนนี้หัวใจเธอคงจะกระโดดออกมาให้ได้ถ้ามันไม่ได้ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดในตัวเธออยู่

ดวงตาสีซีดที่จ้องมองลึกลงไปเหมือนดั่งว่ากำลังมองทะลุจิตใจที่สับสนของเธอ มือที่ใหญ่และแข็งแรงค่อยๆเลื่อนลงมาสัมผัสบริเวณไหล่ทั้งสองของเด็กสาว

“มะ...มัลฟอย..”เด็กสาวพยายามที่จะต่อต้าน แต่เธอไม่สามารถปฏิเสธเขาได้เลย เหมือนกำลังต้องมนต์สะกดที่ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเธอดูเหมือนจะผ่านไปช้าลง ร่างกายที่แผ่ร้อนและอ่อนระทวยไปกับสัมผัสของเขา

ริมฝีปากของทั้งคู่ประสานกันอย่างแผ่วเบาและอบอุ่น มือทั้งสองของมัลฟอยค่อยๆเคลื่อนลงที่เอวและโอบตัวเธอให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น เหมือนเวลาได้หยุดลง สัมผัสอ่อนโยนที่เธอได้รับนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็น “เขา” คนที่เธอคิดว่าเย็นชาที่สุด เมื่อริมฝีปากของทั้งสองเคลื่อนออกจากกัน ดวงตาของทั้งคู่ประสานจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง

“เอ่อ...ขอโทษ” มัลฟอยพูดขึ้นเบาๆด้วยสายตาที่กลับมาเย็นชาเหมือนเก่า แล้วหันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวใกล้ เฮอร์ไมโอนีเข้าใจดีว่าเขาขอโทษเรื่องที่จูบเธอ แต่เธอไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมคำขอโทษของเขา ทำให้เธอรู้สึกเจ็บขึ้นมาในใจ เฮอร์ไมโอนีก้มลงมองนิ่งที่พื้น

“เมื่อกี๊... ทำไมชั้นถึงไม่ได้ปฏิเสธเขากันนะ...” เด็กสาวพึมพำเสียงเบาครุ่นคิดคนเดียว ก่อนที่จะหยิบหนังสือปรุงยาไปนั่งทำรายงานของเสนปให้เสร็จท่ามกลางความเงียบของทั้งสองคนที่ไม่มีใครกล้าสบตาอีกฝ่ายหรือเอ่ยอะไรขึ้นมาเลย

เมื่อออกจากห้องสมุด เฮอร์ไมโอนีเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อไปพบกับรอนและแฮรรี่ ระหว่างทาง สมองของทั้งสองคนก็สั่งการให้คิดรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ มัลฟอยที่เดินตามหลังเด็กสาวมาติดๆก็ต้องหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับเธอ เขารู้สึกว่า ริมฝีปากเธอช่างอ่อนนุ่มและอบอุ่นอย่างประหลาด และเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ทำไมจึงได้ทำแบบนั้นกับคนที่เขาเกลียดที่สุด อย่าง เลือดสีโคลน

เมื่อทั้งสองเดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเรียกให้ทั้งสองกลับมาสู่ความเป็นจริง

“เฮอร์ไมโอนี!!” เสียงของรอนดังขึ้น เด็กสาวเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะของกริฟฟินดอร์

“เฮอร์ไมโอนี ...เธอเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ ...เธอหน้าแดงๆนะ...” แฮรรี่ร้องถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

“ อ้อ..ใช่ เราเคยเจอแบบนี้จำได้มั๊ย..ปีที่แล้วที่แฮรรี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน...ตอนที่นายจูบกับโช แชงน่ะ”รอนพูดขึ้นด้วยความสนุกที่ได้แกล้งเพื่อนหนุ่ม แต่คำว่า “จูบ” กลับทำให้เด็กสาวหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่เอาน่ารอน..อย่าพูดเรื่องนั้นอีกเลย...ให้ตายสิ ชั้นไม่ค่อยอยากจะนึกถึงมันเท่าไร” แฮรรี่บอกอย่าเศร้าๆเล็กน้อย เพราะจูบของเขาเมื่อปีที่แล้ว เป็นจูบที่เขาคิดว่าค่อนข้างจะเลวร้ายไปสักหน่อย เพราะโช กำลังร้องไห้

“แล้วเธอเป็นอะไรไปอีกล่ะ?” รอนเบ้หน้าถามอย่างสงสัย

“อ๋อ...เปล่า..ว่าแต่รอน..นายหาใครไปฮอกมีดส์ด้วยรึยังล่ะ”เด็กสาวสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อรอนทักเธอและพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“ก็...ชั้นนัดกับดีน เชมัส แล้วก็เนวิลล์ไว้ที่ร้านไม้กวาดสามอันน่ะ” รอนบอกอย่างเบื่อๆ

“งั้นก็ดีแล้วนี่ อย่างน้อยนายก็ไม่ต้องเดินเปลี่ยวคนเดียว” เด็กสาวกล่าวและทำท่าจะลุกออกจากโต๊ะ ก่อนที่จะมีเสียงร้องขัดขึ้นมา

“แล้วนั่นเธอจะไปไหนน่ะเออร์ไมโอนี?” แฮรรี่ถามอย่างสงสัย “นี่มันจะได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะ” เขาพูดต่อ

“ อ๋อ..มื้อเย็นนี้ชั้นขอผ่านละกัน...ชั้นไม่หิวเท่าไรแล้วก็..วันนี้ชั้น..เอ่อ...มีเรื่อง..ต้องคิดหน่อย..” เธอบอกพลางลุกออกจากโต๊ะ

“เธอมีเรื่องอะไรต้องคิดมากมายกันน่ะเฮอร์ไมโอนี? อย่าบอกนะว่าเรื่องรายงานการบ้านวิชาอะไรอีก” รอนร้องถาม

“อย่าถามมากจะได้มั๊ย? การที่ชั้นพูดคุยกับพวกเธอได้ทุกเรื่อง ไม่ได้แปลว่าชั้นจะบอกเธอทุกอย่างที่ชั้นคิดหรอกนะ”เด็กสาวตอบอย่างจริงจังและพูดต่อ

“เห็นแก่สวรรค์ ปล่อยชั้นไว้คนเดียวซักวันเถอะ “ เฮอร์ไมโอนีพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ ทิ้งไว้แต่ความงงงวยของเพื่อนหนุ่มทั้งสอง

“เค้าเป็นอะไรของเค้าน่ะ?...ไม่เห็นต้องพูดจาให้เข้าใจยากเลยนี่นา” รอนบ่นอุบทันทีที่เห็นว่าพ้นจากรัศมีที่เด็ก สาวจะได้ยิน

“ พนันได้เลยว่าเขากำลังกลุ้มใจอะไรบางอย่างอยู่” เสียงแหลมสูงของเด็กสาวดังขึ้นจากด้านหลังของรอน แล้วเธอก็นั่งลงข้างๆเขาอย่างกระตือรือล้น

“จินนี่!! นี่เธอมาจากไหนกันเนี่ย อย่าบอกนะว่าเธอแอบฟังพวกเราคุยกันน่ะ” รอนร้องอย่างตกใจทันที

“เสียมารยาท!! ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะฟังสักหน่อย แต่พี่ก็รู้ว่าเวลาพวกพี่ทะเลาะกันเสียงมักจะดังอยู่แล้ว” เด็กสาวผมสเพลิงกล่าวอย่างไว้ตัว

“เราไม่ได้ทะเลาะซะหน่อย!” รอนตอบกลับอย่างหัวเสียเล็กน้อย

“เอาน่าๆ ทั้งสองคนนั่นแหละ...ว่าแต่จินนี่ เธอว่าเฮอร์ไมโอนีกำลังกลุ้มใจอะไรหรอ?” แฮรรี่ถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสาว

“หนูก็ไม่รู้หรอก...แค่เดาเอาน่ะ...แล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นเรื่อง...” จินนี่ตอบและพูดทิ้งท้ายไว้

“เรื่อง?”แฮรรี่และรอนพูดอย่างสงสัยพร้อมกัน จินนี่กลอกตากลับไปมาอย่างเบื่อๆกับความไร้เดียงสาของแฮรรี่และรอน ก่อนจะตอบอ่างมั่นใจว่า

“ความรักน่ะสิ...” จินนี่ว่า และทำให้แฮรรี่และรอนอึ้งไปอยู่หลายวินาทีก่อนจะร้องเสียงหลง

“เธอว่าไงนะ?!!”


part 5

เมื่อเฮอร์ไมโอนีเดินกลับมาจนถึงห้องนอนของเธอที่หอพักหญิงกริฟฟินดอร์ เธอทั้งเพลีย และเหนื่อยอ่อนมากสำหรับวันนี้ ช่างเป็นวันที่เธอรู้สึกล้าและสับสนจริงๆ เด็กสาวถอดเสื้อคลุมออกก่อนจะล้มตัวนอนคว่ำลงกับเตียงสี่เสาอ่อนนุ่มของเธออย่างหมดเรี่ยวแรงไปทั้งร่างกาย เมื่อเธออยู่ตัวคนเดียว สมองเธอก็เริ่มไหลย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่ห้องสมุดอีกครั้ง ในตอนนั้น ใบหน้าของเขา ช่างดูอ่อนโยน แผ่นอกกว้างและอบอุ่น ริมฝีปากที่หวานและรุ่มร้อน ทำให้ร่างกายเธอราวกับจะหลอมละลายไป ดวงตาที่ดูจริงจัง นั่นเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขาหรือเปล่านะ? หรือเป็นเพียงแค่ต้องการแกล้งเธอเท่านั้น เด็กสาวรู้สึกสับสนอีกครั้ง

“ชั้นเป็นเลือดสีโคลนที่น่ารังเกียจไม่ใช่หรือ?...แล้วทำไม..เธอถึง...” เด็กสาวพึมพำเบาๆคนเดียวก่อนจะซบหน้าลงกับหมอนสีขาวที่อยู่บนเตียงเธอ... เด็กสาวยังคงนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นั้นต่อ เขาจะสังเกตได้รึเปล่านะ ว่าตอนนั้น ใจเธอเต้นแรงมาก?... เขารู้สึกยังไงกันแน่?... ความรู้สึกแปลกๆแผ่เข้ามาในจิตใจเธออย่างรวดเร็ว เมื่อเธอคิดถึงตอนที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ห่างกับเธอไม่ถึงเซ็นฯ

“อะไรกัน!!...ยังกับของจริงแน่ะ...นี่ชั้นจะเห็นหน้านายนั่นลอยขึ้นมาแบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ...ชั้นกำลังเป็นบ้าแล้วรึไงกัน “ เด็กสาวร้องขึ้นมาด้วยความรู้สึกทั้งอายและโมโหที่สมองเธอเอาแต่นึกถึงเขา แต่น่าแปลก..ทำไมคราวนี้ภาพใบหน้าอันใกล้ชิดของเขา ทำไมจึงไม่เลือนหายไปจากตาเสียที

“ เกรนเจอร์...นี่เธอคิดถึงชั้นมากขนาดนี้เชียวหรือ..” เสียงยานคางดังขึ้นเบาๆพร้อมกับใบหน้ายิ้มเยาะที่อยู่ห่างจากเธอไม่กี่นิ้ว

“กรี๊ดดดดด!!” เฮอร์ไมโอนีร้องอย่างตกใจและถอยหลังพรวดไปสุดปลายเตียงทันที

“นั่นเธอจะร้องไปหาสวรรค์ที่ไหนน่ะ?” มัลฟอยถามอย่างไม่พอใจพลางนั่งลงบนเตียงของเด็กสาว

“นาย..นายเข้ามาได้ยังไงกันน่ะ....!!!” เด็กสาวร้องด้วยความอาย เธอไม่รู้ว่าเขาได้ยินที่เธอพึมพำอะไรออกไปบ้าง เมื่อนึกถึงตรงนี้ หน้าของเธอก็เป็นสีแดงเข้มทันที

“ชั้นก็เดินตามเธอเข้ามาไงล่ะ ...แล้วแถมยังได้ยินใครบางคนบ่นถึงอีกตะหาก” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางเลิกคิ้วอย่างท้าทาย ทำให้เฮอร์ไมโอนีรู้สึกว่าใบหน้าเธอตอนนี้ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

“ใครอนุญาตให้นายเข้ามาในห้องชั้นกัน?!!” เฮอร์ไมโอนีแหวใส่เพื่อกลบเกลื่อนความอาย

“ไม่มีใคร...แต่ก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้ชั้นเข้ามานี่นา” เขายังคงตอบด้วยใบหน้าเยาะเย้ยแสนจะหยิ่งยะโส

“ก็ชั้นกำลังห้ามอยู่นี่ไงล่ะ ออกไปจากเตียงชั้นเดี๋ยวนี้นะ!!”เด็กสาวตวาดเสียงแหลมทันที แต่ดวงตาสีซีดกลับหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ มัลฟอยค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เด็กสาวที่อยู่ชิดริมสุดของปลายเตียง

“ ถ้าเธอคิดว่าจะไล่ชั้นออกไปได้ก็ลองดูสิ...หรือว่า...อยากจะลองอีกครั้งกันล่ะ...” เมื่อเขาพูดได้ถึงตรงนี้ เด็กสาวก็เข้าใจในความหมายทันที

“ฝะ..ฝันไปเถอะ..นาย...เลิกคิดไปได้เลย...” เฮอร์ไมโอนีตอบอย่างตะกุกตะกัก เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้เธออย่างจงใจ แต่เด็กสาวก็ออกแรงผลักเขาออกไป

“ อย่าเข้ามาใกล้ชั้นนะ..!!” เด็กสาวร้องพลางขยับตัวลุกหนีออกจากเตียง แต่ก็ต้องกลับล้มลงไปนอนแผ่ราบบนเตียงเมื่อมัลฟอยฉุดและกดเธอลงกับเตียง

“ปะ..ปล่อยนะ!! ไม่งั้น ชั้นจะร้องจริงๆด้วย” เด็กสาวเอยเสียงดังด้วยความตกใจ

“เกรนเจอร์...เธอลองคิดดูนะ...ในตอนนี้ เวลาอาหารเย็น คงไม่เหลือใครในหอที่จะได้ยินเสียงเธอร้องหรอกนะ”มัลฟอยกระซิบบอกที่ข้างหูเธอแล้วเลื่อนใบหน้ามาจ้องมองลึกลงไปในตาของเด็กสาว

“แล้วอีกอย่าง ...ที่นี่..ตอนนี้...ไม่ใช่ห้องสมุด...แต่เป็นห้องนอนที่มีเตียงพร้อม...กับผู้หญิงที่กำลังนอนยั่วยวนชั้นอยู่ตรงนี้....” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาพลางแนบหน้าผากของเขาลงเบาๆกับหน้าผากของเธอ

“ ชะ..ชั้นไม่ได้ยั่วใคร!! นายต่างหากที่ทำให้ชั้นอยู่ในสภาพแบบนี้!! ปล่อยชั้นนะ!!”เด็กสาวร้องและพยายามดิ้นขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของเด็กหนุ่มได้

“ ริมฝีปากของเธอ...ไม่นึกว่าจะหวาน...อยากลองชิม...อีกครั้ง..” มัลฟอยกระซิบและมองลงไปในดวงตาคู่น้ำตาลของเด็กสาว เหมือนดั่งจะสะกดเธอให้นิ่งงัน ร่างกายของเด็กสาวร้อนผ่าว หัวใจที่เต้นแรงราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกครั้งที่เขาสัมผัสเธอ และมองเธอแบบนี้ ทำให้เธอไม่สามารถขัดขืนได้เลย มัลฟอยเคลื่อนปลายนิ้วข้างหนึ่งมาสัมผัสบริเวณริมฝีปากสีชมพูนุ่มของเด็กสาวเป็นการหยั่งเชิง...

“ไม่ปฏิเสธใช่มั๊ย...?” เขากระซิบถามเธอ ในหัวสมองของเด็กสาว พยายามบอกร่างกายเธอให้ขัดขืนเขา แต่เธอไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมร่างของเธอจึงได้ไร้ซึ่งกำลังกาย เธอกำลัง..ต้องการให้เขาสัมผัส

ริมฝีปากของเด็กหนุ่มประกบลงอย่างแผ่วเบา เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็คลายริมฝีปากออกช้าๆ ดวงตาสีซีดที่ดูอ่อนโยน เหมือนที่เธอเคยเห็นครั้งก่อนที่ห้องสมุดกลับมาอีกแล้ว

“ชั้น...ไม่เข้าใจเลย...แต่ว่า..ชั้น..ตอนนี้...” เด็กหนุ่มกระซิบเสียงเบา เฮอร์ไมโอนีพยายามที่จะฟังสิ่งที่เขาจะพูดออกมา นั่นอาจจะเป็นความรู้สึกจริงๆของเขา..แต่มัลฟอยกลับจูบลงที่ริมฝีปากเธออีกครั้ง จูบที่ร้อนรุ่มและหนักหน่วงกว่าที่ผ่านมา เฮอร์ไมโอนีค่อยๆขยับสองมือโอบรอบคอของเขา เส้นผมสีทองบรอนซ์อ่อนนุ่มสัมผัสกับปลายนิ้วมือของเธอ มัลฟอยค่อยๆเลื่อนริมฝีปากลงมาตามซอกคอของเด็กสาว ที่ตอนนี้หอบหายใจถี่รัว

มือข้างหนึ่งของเขาสอดเข้าไปใต้เสื้อสเว็ทเตอร์สีเทา ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้สัมผัสไปทั่วเรียวขายาวของเธอ ริมฝีปากของเขาค่อยๆเลื่อนลงมาที่หน้าอก...

“อะ...อย่า...มัลฟอย...อย่า!”เด็กสาวสะดุ้งเฮือกและออกแรงผลักเขาออก ทำให้มัลฟอยได้สติขึ้นมา

“ขะ..ขอโทษ...เอ่อ...ชั้น..” เฮอร์ไมโอนีสาบานได้ว่าเธอเห็นรอยแดงจางๆบนใบหน้าเด็กหนุ่มที่ขอโทษเธออย่างทำอะไรไม่ถูก

เด็กสาวก้มลงมองที่เสื้อเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกระดุมเสื้อของเธอหลุดออกเรียงยาวจนเกือบครบทุกเม็ด เธอหน้าแดงขึ้นทันที

“นี่นาย...” เด็กสาวพูดได้แค่นี้ก็พูดไม่ออกอีกแล้ว เพราะเธออายมาก...

“ขอโทษ...ชั้น..” มัลฟอยตอบพลางหันหน้าไปอีกทางแล้วเขาก็ล้มลงนอนบนเตียงของเด็กสาว

“ดะ..เดี๋ยว!!มัลฟอย เธอ..มานอนตรงนี้ไม่ได้นะ!!” เด็กสาวพูดยังไม่ขาดคำ ก็ถูกเขาดึงลงไปนอนในวงแขน

“นาย!!..” เฮอร์ไมโอนีร้องทันทีแต่ก็ต้องชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อมัลฟอยกระซิบข้างหูเธอ

“ชั้นจะไม่ทำอะไรเธอหรอก..แต่..ขอนอนแบบนี้ได้มั๊ย?” เด็กหนุ่มกระซิบข้างหู แนบชิดกันเสียจนเธอรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่หูเธอ เมื่อเฮอร์ไมโอนีไม่ได้ขัดขืนอะไร มัลฟอยจึงใช้แขนอีกข้างโอบกอดเธอไว้แนบอก

“ทำไม...ชั้นถึงได้ใจเต้นขนาดนี้กันนะ...” เด็กสาวคิด แต่ในวงแขนของเขา ช่างอบอุ่นอ่อนโยน จนเธอรู้สึกเคลิ้มหลับไป

เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดส่องรำไรผ่านผ้าม่านสีแดงเพลิงเข้ามากระทบสายตา เด็กสาวค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ ภายใต้อ้อมแขนของเด็กหนุ่มผิวสีซีดที่กำลังนอนหลับอย่างสบายข้างกายเธอ ใบหน้าของเขายามหลับ ไม่ต่างกับเด็กน้อยคนหนึ่ง น่าเสียดายที่ยามตื่นใบหน้านั่นมักจะดูเย็นชาเสมอ

“จะว่าไป...นายก็ดูดีนี่นา” เฮอร์ไมโอนีพึมพำเบาๆคนเดียว เธอใช้นิ้วมือเขี่ยเส้นผมสีทองที่ลงมาปรกหน้าเขาออก พลางจ้องมองพิจารณาใบหน้าที่เกลี้ยงเกลา แม้ว่าร่างกายของเขาตอนนี้จะเย็นเฉียบ เพราะเขาเป็นเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น แต่เด็กสาวกลับรู้สึกว่า อ้อมกอดและริมฝีปากเขา ช่างอบอุ่นมากกว่าสิ่งใด

“เธอ...จะจ้องชั้นอีกนานรึเปล่าเกรนเจอร์?” เสียงยานคางดังขึ้เบาๆ ทำให้เฮอร์ไมโอนีสะดุ้งเล็กน้อย

“นาย...ตื่นอยู่หรอกรึ!!” เด็กสาวถามด้วยใบหน้าสีแดงเทียบเท่ากับมะเขือเทศ

“จะว่าไป...นายก็ดูดีนี่นา...” มัลฟอยทำเสียงล้อเลียนเฮอร์ไมโอนีพลางทำท่าเขี่ยผมตัวเองออกจากใบหน้า ทำให้เฮอร์ไมโอนีตัวสั่นไปด้วยความโกรธและความอาย เธอจึงเขวี้ยงหมอนใส่ใบหน้าอวดดีนั่น แต่ว่ามันกลับทะลุผ่านเขาไป

“นี่เธอ!! ยัยโสโครก!! อย่าเขวี้ยงอะไรทะลุผ่านคนอื่นจะได้มั๊ย!! อย่าลืมสิ ชั้นสัมผัสอะไรไม่ได้นอกจากเธอนะ”มัลฟอยร้องเสียงดัง แต่กลับเลิกคิ้วอย่างมีเลศนัยในประโยคสุดท้าย

“ใครอยากให้นายสัมผัสกัน!! อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลยน่า!!” เด็กสาวแหวอย่างหงุดหงิด

“อ้อ...ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเมื่อคืนชั้นทำให้ใครเคลิ้มไปได้ก็ไม่รู้สิ...”มัลฟอยตอบพลางนั่งเอนตัวพิงที่หัวเตียงอย่างสบายใจ

“ไปตายซะจริงๆเลยไป!!!”เฮอร์ไมโอนีร้องเสียงดังแล้วหันหลังขวับเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปพบกับแฮรรี่และรอนที่ห้องนั่งเล่นรวม

เมื่อเธอเดินลงจากหอพักหญิง เธอก็สังเกตเห็นชายหนุ่มผมสีเพลิงนั่งรอเธออยู่ที่โซฟาข้างเตาผิง ที่ประจำของพวกเขาอยู่คนเดียว

“รอน? แล้วแฮรรี่ล่ะ?”เฮอร์ไมโอนีถามเป็นคำถามแรก แต่กลับเป็นคำถามที่ทำให้มัลฟอยที่เดินตามมาติดๆรู้สึกไม่เสนาะหูเลยสักนิด

“ไปแล้ว...เขาตื่นมาแต่งตัวตั้งแต่นกฮูกยังไม่กลับรังเลยล่ะ...อย่างที่เธอรู้ พยายามลูบให้ผมของเขาลงมาอย่างไร้ประโยชน์น่ะ”รอนยักไหล่ตอบอย่างเป็นเรื่องปกติ

“ไปเหอะ..ชั้นหิวแล้ว..”รอนพูดต่อพลางออกเดินนำ

“อืมมม”เฮอร์ไมอนีขานรับแล้วจึงออกเดินตาม

“ฮึ...เป็นห่วงเจ้าหัวแผลเป็นมากนักรึไง?” มัลฟอยแหวอย่างหงุดหงิด

“ไม่ใช่เรื่องของนาย!!” เฮอร์ไมโอนีกระซิบตอบเพื่อไม่ให้รอนคิดว่าเธอเป็นบ้าที่คุยคนเดียว

เมื่อถึงเวลาไปฮอกมีดส์ เฮอร์ไมโอนีก็ขอแยกตัวกับรอนเมื่อเนวิลล์ เชมัส และดีน เดินเข้ามาสมทบด้วย นักเรียนทุกคนเดินไปเช็คชื่อกับฟิลช์ เมื่อถึงตอนที่เด็กสาวบอกชื่อกับฟิลช์ไป เธอก็สังเกตเห็นในกระดาษว่า แฮรรี่ได้มาเช็คชื่อกับฟิลช์แล้ว และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฟิลช์อารมณ์ไม่ดีในวันนี้

“อ้า!! อากาศดีจังนะวันนี้”เฮอร์ไมนียกสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจ พลางเดินไปตามทางเดินที่แน่นขนัดไปด้วยร้านค้า

“ทำไมเธอต้องมาคนเดียวด้วยน่ะเกรนเจอร์? หรือว่าคนอื่นเค้ากลัวติดโคลนจากเธอกัน?” มัลฟอยถามขึ้นอย่างดูหมิ่น ใบหน้าที่เย็นชาและดูถูกได้กลับมาอีกครั้งแล้ว

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ชั้นต้องบอกกับคนอย่างเธอไม่ใช่รึไง!!!” เด็กสาวหันกลับไปแหวใส่ด้วยความโกรธ

“อ้อ...ลืมไปว่าชั้นไม่ใช่พ็อตตี้หรือวีเซิลนี่นะ”มัลฟอยเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชัน

“อ๋อ แน่ล่ะ! อย่างน้อยก็บอกพวกเขาดีกว่าบอกนาย!!” เฮอร์ไมโอนีร้องเสียงดังก่อนจะกระแทกเท้าเดินไป

ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เฮอร์ไมโอนีจะสังเกตเห็น ที่ท้ายหมู่บ้าน มีกลุ่มเด็กสาวไปมุงดูบางอย่างกันเกรียวกราว เธอจึงเดินไปดูด้วยความสงสัย

“อ๊ะ!! ขอโทษนะ เค้ามุงดูอะไรกันหรอ?” เด็กสาวถาม

“หมอดูน่ะ...เห็นว่าดูแม่นยังกะตาเห็นเลย นั่นไงคนนั้นน่ะ” แอนนาห์ อับบอตต์ ตอบด้วยใบหน้ายิ้มร่า พลางชี้ให้เธอดูหญิงชราคนหนึ่งที่ชุดคลุมสีดำและมีผ้าพันคอผืนยาวสีแดง ใส่หมวกทรงแหลมสูงสีดำ ดูเป็นคนลึกลับ

“พวกผู้หญิงนี่ไร้สาระกันเสียจริง” มัลฟอยบ่นอุบอิบในคอ แต่ก็ไม่พ้นหูของเฮอร์ไมโอนี ซึ่งเธอก็คิดอยู่ในใจว่า

เป็นครั้งแรกที่เธอและมัลฟอยมีความเห็นตรงกัน เมื่อเธอเห็นหญิงชราคนนั้น ทำให้เธอเห็นภาพซ้อนของศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ กับวิชาพยากรณ์ศาสตร์ที่เธอรู้สึกไร้สาระที่สุด เฮอร์ไมโอนีหันหลังกลับและพยายามเบียดผู้คนออกไป แต่ก็มีเสียงแหบๆเรียกเธอไว้ก่อน

“ เธอคนนั้นน่ะ...รอเดี๋ยวก่อนสิ ...คุณเกรนเจอร์ใช่มั๊ย?” เสียงแหบแห้งของหญิงชราลึกลับคนนั้นเรียกขึ้น เฮอร์ไมโอนีรู้สึกแปลกใจและตกใจที่เขารู้จักชื่อเธอ แต่เธอก็หยุดฟัง

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าชั้นรู้ชื่อเธอได้ยังไง” หญิงชรากล่าวแทงใจดำเด็กสาวทันที แล้วยังคงพูดต่อ

“เธอน่ะ...มีวิญญาณคอยตามอยู่ใช่มั๊ย” เมื่อจบคำพูดของหญิงชรา ก็เรียกเสียงกรีดร้องจากเด็กสาวรอบๆข้างได้ทันที เฮอร์ไมโอนีรู้สึกประหลาดใจมาก เขามองเห็นมัลฟอยอย่างนั้นหรอ? เป็นคำถามแรกที่เธอคิดในใจทันที..

part 6

เฮอร์ไมโอนีรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากจนเธอทำอะไรไม่ถูก แล้วทันใดนั้นเอง หญิงชราใบหน้าเ***่ยวย่น ในชุดคลุมสีดำทั้งตัวก็หัวเราะเสียงแหลมขึ้นเบาๆ

“เธอคงจะตกใจสินะว่าชั้นรู้ได้ยังไง...” หญิงชราเอ่ยเสียงแหบพร่า บรรดานักเรียนและผู้คนที่มุงดูต่างก็เริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบเป็นเชิงอยากรู้และสงสัย เฮอร์ไมโอนีเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามตอบปัดๆไป

“เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณยาย หนูไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร...หนูหมายถึง...ทำไมวิญญาณจะต้องคอยมาตามหนูด้วยล่ะคะ?” เด็กสาวตอบโดยพยายามปั้นหน้ายิ้มอย่างไร้เดียงสา แต่คำตอบนั่น ก็ทำให้หญิงชราคนนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นกว่าเก่า

“แม่หนู...ไม่จำเป็นต้องพยายามกลบเกลื่อนหรอก เธอเองก็เห็นไม่ใช่หรือ...แต่ว่า...ชั้นช่วยเธอได้นะ ว่าไงล่ะ?.” หญิงชราเอ่ยขึ้น เฮอร์ไมโอนีรู้สึกสับสน เธอไม่รู้ว่าหญิงชราคนนั้นมองเห็นมัลฟอยจริงหรือเปล่า หรือถ้าเขาเห็น แล้วจะช่วยเธอได้อย่างไรกัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าเธอปฏิเสธความช่วยเหลือ เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหาวิธีอะไรที่จะทำให้มัลฟอยคืนร่างได้ เด็กสาวยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ในขณะที่สายตาคนรอบข้างต่างจับจ้องอย่างสนใจ

“ช่างเถอะเกรนเจอร์...จะเอายังไงก็แล้วแต่เธอตัดสินใจไปเถอะ” มัลฟอยกระซิบบอกเด็กสาว แล้วเสียงของหญิงชราก็ดังขัดขึ้นมา

“เธอรู้รึเปล่าว่าทำไมเขาถึงกลับเข้าร่างไม่ได้..?.” หญิงชราเอ่ยถามเสียงเบา แต่ดูหนักแน่นพลางเดินก้าวเข้ามาหาเฮอร์ไมโอนีช้าๆ จนมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ

“เอ๋?!” เฮอร์ไมโอนีร้องเสียงเบา หญิงชรายื่นสร้อยสีทองที่มีจี้เป็นรูปนาฬิกาทรายที่ทำจากแก้วสีใสดูบอบบางเรือนเล็กๆให้เธอ เด็กสาวจ้องมองลงไปในเรือนนาฬิกา เธอสังเกตเห็นว่า ทรายในนาฬิกานั้นไม่ได้อยู่นิ่งๆ แต่มันกำลังวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว เม็ดทรายสีขาวแต่ละเม็ดวิ่งชนกันไปมาทำให้เกิดประกายแสงสีต่างๆระยิบระยับดูสวยสะดุดตา

“สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นวิญญาณมีอยู่ 3ข้อ เธอจะต้องไปแก้มันให้ถูก...” หญิงชราพูดพลางจ้องมองลงไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีแรงกดดันมหาศาลกดลงบนหน้าอกเธอ แต่แล้วหญิงชราก็หันหลังเดินจากไปช้าๆ บรรดาผู้คนบ้างก็เดินตามหญิงชราไป บ้างก็แยกย้ายไปเดินดูของต่อ โดยไม่ได้มีใครติดใจจะเข้ามาถามไถ่เฮอร์ไมโอนีเลย

“ชั้นว่ายายแก่นั่น...ลวงโลกชะมัด!!” มัลฟอยถบสขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“มัลฟอย! ไปว่าร้ายคนแก่ ไม่ดีเลยนะ!!” เฮอร์ไมโอนีร้องขัด แล้วพูดต่อ

“แต่ชั้นว่าเค้ามองเห็นจริงๆนะ” เด็กสาวพูดต่อพลางก้มลงมองสร้อยนาฬิกาทรายในมือ

“โอ๊ย!!นี่เธอก็ประสาทไปตามยายแก่นั่นแล้วรึไง?!”มัลฟอยร้องถามอย่างหงุดหงิด

“แต่ว่าเค้าดูมีเหตุผลนะ...ถ้าหากการที่นายกลายเป็นแบบนี้มีสาเหตุลึกๆแล้วล่ะก็ ....” เด็กสาวกล่าวพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงคิด

“แล้วไงล่ะ? ถ้ามันเป็นจริง เราก็ไปแก้อดีตไม่ได้หรอก!!....” มัลฟอยพูดยังไม่ทันขาดคำ นาฬิกาทรายนั้นก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบแสบตาออกมา แล้วร่างกายของทั้งสองก็รู้สึกเบาเหมือนไร้น้ำหนักชั่วครู่หนึ่ง เฮอร์ไมโอนีรู้สึกว่าปลายเท้าเธอสัมผัสกับพื้นดิน เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอก็มองไปรอบๆทันที สถานที่ๆเธออยู่ตอนนี้ ดูคุ้นตาอย่างมาก และไม่ใช่ที่ไหน

“ที่นี่มัน...ฮอกวอตส์นี่นา...” เฮอร์ไมโอนีเอ่ยขึ้นเบาๆ ตอนนี้ เธอและมัลฟอย กำลังอยู่ที่ระเบียงทางเดินหนึ่งที่เชื่อมกับห้องโถงใหญ่ แต่เป็นเวลาฟ้าสาง

“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันน่ะ...”มัลฟอยถามลอยๆพลางมองไปรอบตัวเช่นกัน แต่แล้วจู่ๆเฮอร์ไมโอนีก็เดินไปหาเด็กหญิงบ้านเรเวนคลอสองคนที่เดินมาด้วยกัน

“ขอโทษนะ...วันนี้วันเดือนปีที่เท่าไรหรือ?” เฮอร์ไมโอนีถามเด็กสาวทั้งสองคนมีท่าทีงงงวยแต่ก็ตอบแต่โดยดี

“ วันนี้วันพฤหัสที่ 28 เดือนกันยายน ปี xxxx “ เด็กสาวคนหนึ่งที่เฮอร์ไมโอนีคิดว่าน่าจะเป็น คริสตี้ มอรานีส ถ้าเธอจำไม่ผิด ตอบพลางทำหน้าฉงน

“งั้นหรือ? ขอบใจมากนะ...” เฮอร์ไมโอนีกล่าวขอบคุณและยิ้มให้ แล้วเด็กสาวบ้านเรเวนคลอทั้งสองคนก็เดินจากไป เฮอร์ไมโอนีจึงเดินไปสมทบกับมัลฟอย

“ให้ตายสิ!!นายรู้อะไรมั๊ย เมื่อกี๊ชั้นไปถามวันที่สองคนนั้นมา นี่มันเป็นเมื่อวันก่อนนี้น่ะสิ!! เรากำลังอยู่ในอดีตของเมื่อวันก่อน!!” เฮอร์ไมโอนีร้องอย่างไม่อยากเชื่อ

“เธอว่าไงนะ?!” มัลฟอยก็ร้องตามอย่างประหลาดใจและทำอะไรไม่ถูก “ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปล่ะนี่!” เขาพูดต่อพลางเบ้หน้าเชิงว่า นี่มันไร้สาระชะมัดเลย!!

“ เอาล่ะ... ชั้นคิดว่าไอ้ของสิ่งนี้น่าจะเหมือนนาฬิกาทรายที่ชั้นเคยได้รับอนุญาตให้ใช้เมื่อตอนปีสามน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนีกล่าวพลางยกสร้อยนาฬิกาทรายขึ้นมาให้ดู

“เธอหมายความว่าไง?” มัลฟอยถามอย่างไม่เข้าใจเพราะเรื่องเมื่อปีสาม มีเพียงแค่พวกแฮรรี่เท่านั้นที่รู้ว่าเธอได้ใช้นาฬิกาย้อนอดีต

“จะยังไงก็แล้วแต่ สรุปแล้วก็คือ ..ชั้นว่านี่มันเป็นเครื่องมือย้อนอดีตน่ะสิ...เหมือนที่คุณยายคนนั้นพูด ชั้นว่าพวกเราต้องมาแก้อดีตของวันนี้กัน!” เฮอร์ไมโอนีตอบอย่างรวดเร็วแทบจะไม่ได้หายใจ

“คำถามก็คือ...เราจะต้องแก้ไขเรื่องอะไรของวันนี้นี่สิ?...” เด็กสาวใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นสัมผัสบริเวณคางเพื่อใช้ความคิด

“เดี๋ยวก่อนนะ...เธอพูดบ้าบออะไรตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วน่ะ...เธอจะบอกว่า นี่ชั้นกำลังจะต้องย้อนอดีตเพื่อมาแก้อดีตงั้นเรอะ?” มัลฟอยเบ้หน้าถาม แต่เฮอร์ไมโอนีกลับคิดว่า นี่เป็นคำถามที่งี่เง่าที่สุดที่เคยเจอมาทีเดียว เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบ

“ฟังนะมัลฟอย!..ไม่ใช่ว่า เธอจะ’ต้อง’ย้อนอดีตหรอกนะ แต่เราน่ะย้อนมาแล้วต่างหาก! “ เด็กสาวแหวใส่อย่างรำคาญก่อนจะหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ ในขณะที่เด็กหนุ่มพยายามที่จะเชื่อเรื่องนี้ให้ได้

“เอาล่ะ...คราวนี้ถ้าเข้าใจชัดแล้วนายก็มาช่วยชั้นคิดเสียทีสิว่า เราจะเริ่มกันที่ไหน.... เพราะมันไม่ใช่อดีตชั้นหรอกนะที่ต้องแก้ แต่เป็นเธอต่างหาก!” เด็กสาวกลอกตาอย่างเบื่อๆ

“ถ้างั้นชั้นก็พอจะรู้ล่ะนะ...” เด็กหนุ่มพูดขึ้นขณะที่ดวงตาจ้องมองนิ่งกับพื้นเหมือนกำลังทบทวนบางอย่าง

“ รู้อะไรล่ะ?!” เฮอร์ไมโอนีถามอย่างร้อนรน

“ ชั้นน่ะ ปรุงยาผิด ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ใช่มั๊ยล่ะ ...แต่ว่าความจริง ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ชั้นน่ะ ค่อนข้างถนัดวิชาปรุงยาเหมือนกัน การที่จะปรุงยาผิดนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว... “ มัลฟอยอธิบาย แต่เฮอร์ไมโอนีกลับเบ้หน้าอย่างสะอิดสะเอียน

“อะไรอีกล่ะ?” มัลฟอยถามอย่างหงุดหงิดที่เห็นท่าทางของเด็กสาว

“นี่นายไม่ใช่กำลังจะชมตัวเองอยู่หรอกนะ?...” เด็กสาวถามขึ้น แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มที่มุมปากอย่างอวดดี

“ นั่นก็ด้วย...แต่ว่าที่สำคัญก็คือ วันนั้นในวิชาปรุงยา...ชั้นกำลังอารมณ์เสียอยู่น่ะสิ...”มัลฟอยตอบพลางออกวิ่งไปตามระเบียงทางเดินที่แสงแดดเริ่มแรงขึ้น บ่งบอกถึงว่า ตอนนี้คงเป็นช่วงสายๆแล้ว เพราะตอนนี้นักเรียนจำนวนมากต่างทยอยมาทานอาหารเช้าที่ห้องโถงใหญ่กัน

“เดี๋ยว !!รอด้วยซิ!” เฮอร์ไมโอนีร้องพลางออกวิ่งตามมัลฟอยไป

“ นายจะไปไหนน่ะ?!!” เด็กสาวร้องถาม

“ ก็ไปหาต้นเหตุที่ทำให้ชั้นอารมณ์เสียน่ะสิ...” เขาตอบพลางยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างที่เธอก็ไม่เข้าใจ แต่จู่ๆเฮอร์ไมโอนีก็ดึงชายเสื้อคลุมมัลฟอยเอาไว้

“อะไร?!” เด็กหนุ่มหันมาถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ทางนี้!!” เฮอร์ไมโอนีตอบ พลางเดินนำไปทางระเบียงที่เงียบสงบปราศจากผู้คน

“ เราต้องหลีกเลี่ยงผู้คน เพราะอย่าลืมว่ามีพวกเราในอดีตอยู่ในนี้ด้วย ถ้าเผอิญเจอกันเดี๋ยวจะเกิดเรื่องยุ่ง” เด็กสาวบอกพลางมองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจดูว่าปราศจากผู้คนจริงๆ

“แล้วนี่เราจะต้องไปที่ไหนกัน?” เด็กสาวถามอีกครั้ง

“ อืม.. ตรงที่ๆเราเจอกันไงล่ะ ...ในชั่วโมงสมุนไพรวิทยาน่ะ” เด็กหนุ่มตอบแล้วก้าวเดินออกมาสู่สนามหญ้าหน้าปราสาท

“จำได้มั๊ยว่าเราทะเลาะกันตอนนั้น...” มัลฟอยถามโดยไม่ได้หันมามองเด็กสาว เฮอร์ไมโอนีไม่ได้ตอบอะไรเพราะเธอกำลังนึกฉุนถึงพฤติกรรมในวันนั้นที่เขาทำกับเธอ

“ ตอนนั้น ... ชั้น...ไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับเธอแบบนั้นหรอกนะ...เพียงแต่อยากจะคุยด้วยเท่านั้นเอง...” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาเหมือนสำนึกผิด และสร้างความประหลาดใจให้กับเฮอร์ไมโอนีเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกใจเต้นอย่างประหลาดที่เขาพูดแบบนั้นและใบหน้าของเธอก็เริ่มกลายเป็นสีชมพู

เมื่อทั้งสองเดินไปถึงบริเวณพุ่มไม้หนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านที่จะไปยังเรือนกระจก ก็สังเกตเห็นร่างของมัลฟอยในอดีตที่กำลังเดินตรงไปยังเรือนกระจก และกำลังเดินใกล้เข้ามาทางพุ่มไม้ที่ทั้งสองอยู่

“อุ๊บ!! อ๊ากกกก” เสียงเด็กหนุ่มร้องขึ้นอย่างตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นมัลฟอย!!” เฮอร์ไมโอนีร้องถามด้วยความตกใจ เธอเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นว่าร่างวิญญาณของมัลฟอยกำลังจะเรือนหายไป วินาทีนั้นเธอรู้สึกใจหายวูบ

“ชั้น...ถูกดูด...” ยังไม่สิ้นคำพูด ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาเด็กสาว

“มัลฟอย!! “ เธอกรีดร้องเสียงหลง และเริ่มมีน้ำตาคลอในดวงตาคู่น้ำตาล

“จะโวยวายไปถึงไหนน่ะ??” เสียงยานคางของมัลฟอยในอดีตดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ยืนประจันหน้ากับเด็กสาว

“เอ่อ...อะ...” เฮอร์ไมโอนีทำอะไรไม่ถูก เพราะเธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าเธอมาจากอนาคต เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆดังขึ้น

“นั่นเธอ...จะบ้าเรอะ...นี่ชั้นเอง!” มัลฟอยร้องขึ้นพลางหัวเราะเยาะกับท่าทางของเด็กสาว

“นี่เธอ! ...หรือว่า...” เฮอร์ไมโอนีร้องเบาๆ

“อืม..ดูเหมือนวิญญาณชั้นจะถูกดูดมาอยู่ในร่างนี้น่ะสิ...” มัลฟอยตอบพลางยักไหล่เชิงว่า ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กสาวก็ถึงกับถอนใจอย่างโลงอกก่อนจะแหวกลับ

“จะบ้ารึไง !! ชั้นเป็นห่วงเธอแทบตาย!!” เด็กสาวตะโกนเสียงดัง แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อมัลฟอยเลิกคิ้วสูงอย่างอวดดี เป็นเชิงว่า “ นี่เธอเป็นห่วงชั้นรึ?”

“ ชู่! เธอหลบไปก่อน...” มัลฟอยรีบบอกพลางกดหัวเด็กสาวให้ซ่อนในพุ่มไม้เมื่อเขาได้ยินเสียงคนเดินมา ซึ่งก็คือ เฮอร์ไมโอนีในอดีตนั่นเอง

มัลฟอยเดินตรงเข้าไปหาเหมือนที่เมื่อวันก่อนเขาได้ทำทันที

“ เลือดสีโคลนอยู่คนเดียวงั้นรึ หรือว่าแม้แต่องครักษ์ทั้งสองก็ยังขยะแขยงเธอกัน?”เสียงถบสดังขึ้นจากเด็กหนุ่มผิวสีซีดที่ดวงตาของเขา จ้องมองอย่างรังเกียจมาที่เธอ

“แล้วนายล่ะ? ลูกน้องโง่เง่าไปไหนซะล่ะ? อ้อ! จริงสิ ชั้นลืมไปว่ามีคนนึงไปอยู่ในคุกพร้อมๆกับพ่อนายนี่นา” เฮอร์ไมโอนีร้องตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว ซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าสีซีดนั้นแดงขึ้นด้วยความโกรธ และเขาก็คิดในใจว่า

ถึงจะเป็นเรื่องในอดีตก็เถอะ ช่างไม่สบอารมณ์เอาซะเลยที่มีคนมาว่าพ่อของเขา เด็กหนุ่มเดินย่างก้าวเข้าไปใกล้เฮอร์ไมโอนีก่อนจะพูดขึ้น

“เป็นอะไรไปล่ะเกรนเจอร์ผู้ชาญฉลาด... เมื่อกี๊ยังปากดีอยู่เลยนี่...ทำไมถึงต้องกลัวขนาดนั้นด้วยล่ะ” มัลฟอยร้องถามเสียงเบาเหมือนเสียงกระซิบ แต่เด็กสาวกลับได้ยินมันชัดเจนทุกคำพูด ใบหน้าของเด็กหนุ่มตอนนี้ดูเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง เฮอร์ไมโอนีถอยหลังไปจนสุดกำแพงปราสาท แต่ยังคงข่มความกลัวไว้ด้วยแววตาที่จ้องตอบกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว

“ชั้นไม่เคยคิดกลัวนาย..มัลฟอย!!” บัดนี้เสียงของเด็กสาวสั่นขึ้นมานิดๆแม้ว่าเธอจะพยายามเปล่งเสียงให้เป็น ปรกติก็ตาม ซึ่งมัลฟอยเองก็สังเกตได้เช่นกัน เขาโน้มตัวลงมาใกล้เธอจนใบหน้าแทบจะชิดกัน รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเขา

“ถ้างั้น...ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยล่ะ?... เธอรู้อะไรมั๊ยว่า ตอนนี้มีเพียง “เรา”ที่อยู่นอกปราสาท ฉะนั้นชั้นจะทำอะไรเธอมันก็ไม่ยากเกินไปหรอกจริงมั๊ย?” มัลฟอยถามด้วยเสียงต่ำเยียบเย็น ดวงตาสีซีดจ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่น้ำตาลของเด็กสาว ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ และความกลัวเข้ามาครอบคลุมทั่วร่างจนเธอถึงกับทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เมื่อถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกอยากจะแกล้งเธอให้สะใจต่อไปอีก แต่เขาก็หรี่ตาลงมองเด็กสาวที่สั่นกลัวอยู่บนพื้น ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยื่นมือมาให้เธอ

เฮอร์ไมโอนีที่แอบมองอยู่ในพุ่มไม้ เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เข้าก็รู้สึกแปลกๆในอก ทั้งๆที่คนๆนั้นคือตัวเธอเองในอดีต แต่ในตอนนี้ เธอกลับไม่รู้สึกอยากให้มัลฟอยสัมผัสเลย

เด็กสาวส่งมือให้มัลฟอยอย่างประหลาดใจก่อนที่เด็กหนุ่มจะฉุดเธอให้ลุกขึ้นแล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด เขากระซิบกับร่างในอดีตของเด็กสาวเบาๆ

“ขอโทษสำหรับทุกอย่าง....” มัลฟอยเอ่ยบอกก่อนที่จะค่อยๆคลายอ้อมแขนออกแล้วหันหลังเดินกลับไปยังพุ่มไม้ ทิ้งให้ร่างอดีตของเด็กสาวยืนอึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ ไปกันเถอะเกรนเจอร์...” มัลฟอยพูดขึ้นเมื่อเดินเลี้ยวอ้อมมาจถึงพุ่มไม้ที่เด็กสาวซ่อนตัวอยู่แล้ว

“ กะ...ก็ไปซิ...” เธอตอบอย่างหงุดหงิดประหลาดๆ แต่นั่นทำให้มัลฟอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

“ อะไรกัน... หึงกระทั่งตัวเองรึไง?” เขาถามอย่างเป็นต่อ ทำให้เฮอร์ไมโอนีหน้าแดงอย่างช่วยไม่ได้

“คะ..ใครหึงคนอย่างนายกัน!!” เด็กสาวร้องกลับ แต่เด็กหนุ่มก็โน้มตัวเข้ามาแล้วดึงเธอเข้าไปจูบอย่างตั้งตัวไม่ติด เขาใช้สองมือโอบกอดเธออย่างอบอุ่น เด็กสาวค่อยๆหลับตาลง เธอรู้สึกถึงความคิดถึงและความอ่อนโยน ผ่านริมฝีปากบางของเด็กหนุ่ม เมื่อมัลฟอยค่อยๆคลายริมฝากออก

“ เคลิ้มไปเลยล่ะซิ... ชั้นจูบเก่งขนานั้นเชียว?” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเยาะๆพร้อมรอยยิ้มยียวนของเขา ทำให้เฮอร์ไมโอนีหน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะต่อว่าอะไร ก็มีแสงสว่างวาบออกมาจากนาฬิกาทรายอีกครั้ง ร่างจิตวิญญาณของมัลฟอยหลุดออกมาช้าๆ และทั้งสองก็ลอยขึ้นเหนือพื้นดิน เฮอร์ไมโอนีสังเกตเห็นร่างในอดีตของมัลฟอยนั้น ล้มลงสลบไปกับพื้น

“ ร่างของเธอจะเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ!!” เด็กสาวตะโกนถามขณะลอยตัวอยู่ในกลุ่มแสงสีขาวบาดตา

“ ชั้นไม่รู้!!” สิ้นเสียงคำตอบของเด็กหนุ่ม ทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลนอีกครั้ง....


part7

เด็กสาวลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกมึนงง เธอกำลังนอนอยู่ในที่ๆคุ้นเคยเช่นเดิม นั่นคือระเบียงทางเดินหน้าคุกใต้ดินของฮอกวอตส์นั่นเอง เฮอร์ไมโอนีหันมองรอบๆตัวเธอเพื่อจะพบกับร่างของมัลฟอย

“ตื่นแล้วเหรอเกรนเจอร์?...” เสียงยานคางดังขึ้นข้างๆเธอ

“มัลฟอย.... นี่มัน...” เด็กสาวร้องถามเบาๆ

“อืม...ก็คงจะเป็น ,’อดีต’อีกนั่นแหละนะ ...ชั้นว่าน่าจะเป็นตอนที่ชั้นกับไอ้หัวแผลเป็น พอตเตอร์นั่นทะเลาะกัน” มัลฟอยพูดพลางเดินไปรอบๆช้าๆเพื่อพิจารณาสภาพรอบด้าน

“ แล้วเราจะต้องแก้ไขอะไรที่นี่...” เฮอร์ไมโอนีร้องห้วนๆอย่างไม่พอใจที่เด็กหนุ่มเรียกแฮรรี่ว่า หัวแผลเป็น

มัลฟอยเหลือบตามองเธอนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเริ่มอธิบาย

“ฟังนะ... ที่ชั้นปรุงยาผิด อย่างที่บอก เพราะชั้นอารมณ์เสียใช่มั๊ย? แล้วสาเหตุที่ทำให้ชั้นอารมณ์เสียก็มีสองอย่าง อย่างแรก เราได้แก้ไขกันไปแล้ว ...และอย่างที่สองก็คือ การทะเลาะกับพอตเตอร์.... “ มัลฟอยบอกอย่างเซ็งๆ

“แล้วทำไมนายจะต้องโกรธอะไรแฮรรี่ด้วยล่ะ” เด็กสาวถามพลางเท้าเอวด้วยความไม่เข้าใจ

“ เพราะชั้นไม่ชอบหมอนั่น!!”เขาตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดทันที จนทำให้เฮอร์ไมโอนีไม่พอใจเล็กน้อย

“ ทำไมเธอจะต้องไปเกลียดแฮรรี่ด้วย เขาไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลยนี่นา!!” เด็กสาวสวนกลับอย่างเริ่มมีอารมณ์ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องอย่างมั่นคงไปที่เด็กหนุ่ม

“ ทำซิ!! การที่หมอนั่นอยู่กับเธอนั่นแหละที่ทำให้ชั้นไม่พอใจ!!” เด็กหนุ่มร้องตอบอย่างหัวเสียและสร้างความไม่เข้าใจให้กับเฮอร์ไมโอนีเป็นอย่างมาก

“หมายความว่าไง!! ทำไมแฮรรี่ถึงจะอยู่กับชั้นไม่ได้กัน!!” เฮอร์ไมโอนีแหวกลับอย่างงุนงง

“โอ๊ยย!! อย่าให้ชั้นตอบจุกจิกจะได้มั๊ย” มัลฟอยร้องตวาดแล้วหันหลังให้เด็กสาวทันที เขาเดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดิน โดยไม่รีรอเด็กสาวที่ร้องตะโกนเรียกตามหลัง แต่แล้วจู่ๆ ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงแรงดูดอีกครั้ง เมื่อกลุ่มนักเรียนบ้านสลิธีรินเดินลงบันไดคุกใต้ดินเพื่อมาเรียนวิชาปรุงยา

“ชั้น...กำลังถูกดูดอีกแล้ว...” มัลฟอยกระซิบด้วยเสียงเบาและหวาดหวั่นเล็กน้อย

“ คงจะต้องไปสิงร่างตัวเองในอดีตอีกแน่เลย” เขาพูดไม่ขาดคำ ร่างวิญญาณของเขาก็จางหายไป ทำให้เด็กสาวตกใจไม่น้อย แต่ในสถานการณ์ที่มีเด็กบ้านสลิธีรินอยู่เต็มระเบียงทางเดินคุกใต้ดิน เธอไม่สามารถแสดงตนออกมาได้ จึงได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างเสาใกล้ๆและมองดูสถานการณ์ต่อไป เฮอร์ไมโอนี พยายามชะเง้อมองร่างของมัลฟอยในอดีตที่อยู่ในกลุ่ม เพื่อจะดูว่า วิญญาณของมัลฟอยตอนนี้ กำลังอยู่ในร่างนั้นหรือเปล่า

แต่แล้วเด็กสาวก็หายใจโล่งปอดขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอมั่นใจว่าเธอเห็นเด็กหนุ่มผิวซีดปรายตามาทางเธอและยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้เธอแวบนึง

ไม่ช้า เธอก็เห็นแฮรรี่ รอน และตัวเธอในอดีตเดินลงบันไดมายังคุกใต้ดิน

“ โอ๊ะๆๆ มากันแล้ว ผู้มีชื่อเสียงของเรา” เด็กสาวสลิธีรินคนหนึ่งร้องขึ้น และมีเสียงหัวเราะอีกหลายเสียงดังตามมา

“แหมๆๆ จะว่ายังไงนะถ้าชั้นจะไปขอลายเซ็นพอตเตอร์ผู้ชี้ให้คนทั้งโลกรู้ถึงการกลับมาของคนที่รู้ว่าใคร”เสียงแหลมๆของแพนซี่ พากินสันดังขึ้น

เฮอร์ไมโอนีที่แอบอยู่ข้างเสาสังเกตได้ถึง อารมณ์โกรธได้แผ่พุ่งขึ้นมาในตัวของแฮรรี่ เขาดูเหมือนพยายามอดกลั้นไว้ให้ถึงที่สุด ในขณะที่รอนหันไปมองกลุ่มสลิธีรินพวกนั้นด้วยสายตาที่เหมือนเห็นแมงมุมยักษ์

“ใจเย็นไว้เฮอร์ไมโอนี เย็นไว้..” เด็กสาวท่องพึมพำเป็นการคุมสติตัวเอง ในขณะที่เสียงหัวเราะยังคงดังไม่หยุด

“จริงสินะ จากพอตเตอร์ผู้โกหกกลายเป็น พอตเตอร์วีรบุรุษของทุกคน” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มสลิธีรินนั้น แฮรรี่จำได้ว่าเขาอยู่ปี7 แต่ไม่รู้ชื่อเขา

ตอนนี้เองที่เฮอร์ไมโอนีจำได้ว่า ต่อจากนี้จะมีการร่ายคาถาใส่กัน เป็นเหตุให้บ้านกริฟฟินดอร์โดนหักคะแนน แต่เธอไม่รู้ว่าจะเตือนเพื่อนๆของเธอได้อย่างไรในเมื่อเธอไม่สามารถปรากฎตัวได้

“ หยุดซะที!! เสียงพูดมากหนวกหูของพวกนายทำให้ชั้นอารมณ์ไม่ดี!!” เสียงยานคางของเด็กหนุ่มผิวซีดคนหนึ่งดังขัดขึ้นอย่างแข็งกร้าว สร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมบ้านคนอื่นๆเป็นอย่างมาก

“ เดรโก?! เธอเป็นอะไรไปน่ะ?” แพนซี่ พากินสันร้องถามเสียงแหลมขึ้นทันที

“ หุบปากน่าพากินสัน!! ชั้นอารมณ์ไม่ดี!!” มัลฟอยหันมาตวาดเด็กสาวที่สะดุ้งเฮือกและหน้าเจื่อนลงไปทันที

“แต่...” แพนซี่ยังคงพยายามอีกครั้งแต่ก็ต้องเงียบทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีซีดที่จ้องมองอย่างดุดันและเย็นชามาที่เธอ

“ วันนี้ชั้นไม่มีอารมณ์จะลดตัวลงไปยุ่งกับพวกนายหรอกนะพอตเตอร์...นายควรจะสำนึกตัวไว้ด้วย” มัลฟอยร้องบอกอย่างเย็นชาและxxx;มเกรียม ก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในคุกใต้ดินท่ามกลางความฉงนของทุกคน

เด็กบ้านสลิธีรินทุกคนต่างพากันส่ายหัวและยักไหล่ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถามหรือขัดใจมัลฟอยแต่อย่างใด แต่แล้วจู่ๆมัลฟอยก็หยุดกึกที่หน้าประตูทางเข้าคุกใต้ดินเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก เขาหันมาทางกลุ่มเพื่อน สลิธีรินของเขา

“เอ้าเข้าห้องเรียนไปซะซิ!! “ มัลฟอยหันมาสั่งเพื่อนๆเขาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่

“ หูหนวกรึไง? ชั้นบอกให้เข้าห้องไปซะ!!” เด็กหนุ่มร้องอีกครั้งด้วยน้ำเสียงโหดxxx;ม ทำให้บรรดาเด็กสลิธีรินพากันสะดุ้งและกรูกันเข้าห้องเรียนไป มัลฟอยปรายตามาทางแฮรรี่ รอน และเฮอร์ไมโอนีที่มองมายังเขาอย่างเกลียดชัง

“ไม่มีอะไรจะทำรึไงพอตตี้?” เด็กหนุ่มผิวซีดถบสออกมาพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ อย่านึกว่านายจะมาสั่งพวกเราได้นะมัลฟอย!!” รอนร้องขึ้นทันที

“ พอเถอะน่ารอน!! ถ้าเสนปมาเห็นเข้า พวกเราจะเสียเปรียบนะ! “ เฮอร์ไมโอนีร้องขึ้นและลากเพื่อนทั้งสองของเธอเดินเข้าไปยังคุกใต้ดิน เมื่อมัลฟอยเห็นว่าปราศจากคนแน่นอนแล้ว เขาจึงเดินไปยังมุมเสามืดๆต้นใกล้ๆ

“ รอนานมั๊ยเกรนเจอร์...” เด็กหนุ่มก้มลงถามพลางใช้สองมือจับที่เอวบอบบางของเธอแล้วอุ้มเธอลุกขึ้นยืน

“ว้าย!!” เด็กสาวอุทานและหน้าแดงขึ้นทันที ไม่นึกเลยว่าร่างกายที่ดูผอมบางของเขาจะแข็งแรงขนาดอุ้มเธอได้อย่างง่ายดาย

“ชอบรึไง?” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฎขึ้นบนใบหน้าหยิ่งยะโสของเขา

“จะ..จะบ้ารึไง!” เด็กสาวตอบอึกอัก แก้มของเธอยังคงเป็นสีชมพูระเรื่อ ก่อนที่นาฬิกาทรายที่เด็กสาวคล้องไว้ที่คอของเธอจะเริ่มส่องประกายออกมาอีกครั้ง ร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มหลุดออกมาก่อนที่กลุ่มแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าค่อยๆปกคลุมทุกอย่างให้ค่อยๆเลือนหายไป.....



เด็กสาวลืมตาขึ้นอีกครั้งในสถานที่ๆแปลกตา เธอจำได้ว่าเธอไม่เคยเห็นสถานที่นี้มาก่อนเลย ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่ทางเดินมืดๆทอดยาวที่มีเพียงคบไฟส่องทางอยู่เป็นระยะๆ บรรยากาศของที่นี่ ทำให้เธอรู้สึกขนลุกและอึดอัด

ทันใดนั้น จู่ๆก็มีบางอย่างมาสัมผัสที่ไหล่ขวาเธอจากข้างหลัง

“กรี๊.....อุ๊บ!!”เด็กสาวสะดุ้งและกรีดร้องแต่เสียงเธอก็หายไปก่อน เมื่อมีมือที่เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง มาปิดที่ปากเธอไว้

“อย่าร้องนะ! นี่ชั้นเอง” เด็กหนุ่มผิวซีดร้องบอกเสียงเบาก่อนที่จะค่อยๆคลายมือออกจากริมฝีปากเธอ

“มัลฟอย! ที่นี่มันที่ไหนกันน่ะ?!” เด็กสาวร้องถามอย่างร้อนรนเป็นคำถามแรก เด็กหนุ่มมองเธอนิ่งพักหนึ่งก่อนจะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วตอบเธอ

“ รู้อะไรมั๊ย... เธอเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะที่มาเหยียบที่นี่...” เขาบอกด้วยใบหน้ามีเลศนัย เด็กสาวมองหน้าเขาอย่างงงงวยเป็นที่สุด

“ ขอต้อนรับสู่คฤหาสตระกูล มัลฟอย...” เขาพูดขึ้นอีกครั้งพลางฉุดเด็กสาวให้ลุกขึ้นยืน

“หมายความว่า....” เฮอร์ไมโอนีถามดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ

“บ้านชั้นเอง...” มัลฟอยตอบพลางยักไหล่เหมือนไม่มีอะไรตื่นเต้น ขณะที่เฮอร์ไมโอนีรู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด

“ เอาล่ะ...ไปกันเถอะ...” มัลฟอยพูดขึ้น เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมมือของเด็กสาวไว้เบาๆแล้วออกเดินนำไป และไม่รู้ว่าทำไม เฮอร์ไมโอนีรู้สึกใจเต้นรัวเร็ว และหน้าแดงขึ้นมาทันที

“ เอ่อ...” เด็กสาวเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น “แล้วเราต้องแก้อะไรที่นี่หรอ?”

“ ไม่รู้สิ... ชั้นจำไม่ได้นี่นาว่านี่มันวันที่เท่าไรเดือนอะไรปีไหน” มัลฟอยบอกพลางออกเดินไปตามระเบียงทางเดิน

“เอ้อ...บ้านนาย...น่ากลัวอย่างงี้เสมอเหรอ?” เด็กสาวพูดขึ้น แน่นอนเธอกำลังหมายถึง บรรยากาศอึมครึมชวนสยดสยองนี้

“ พ่อชั้นไม่ชอบอะไรที่มันสว่างๆน่ะ...” เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในขณะที่เฮอร์ไมโอนีเบ้หน้าเหมือนขยะแขยงบางอย่าง ไม่นานนัก ทั้งสองก็เห็นแสงไฟส่องลอดมาจากประตูห้องๆหนึ่ง

“นี่ห้องอะไรน่ะ” เด็กสาวถามขึ้น

“ ห้องกินข้าว...” มัลฟอยตอบพลางค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆก่อนจะแง้มประตูเบาๆเพื่อแอบดู

ในห้องกินข้าว มีโต๊ะอาหารยาวขนาดใหญ่ที่เด็กสาวคิดว่าน่าจะมีขนาดเล็กกว่าโต๊ะประจำบ้านที่ฮอกวอตส์ไม่มากนัก ผ้าม่านสีอึมครึมถูกปิดไว้อย่างมิดชิด บรรยากาศในห้องนั้นสลัวไปด้วยแสงจากคบไฟ บนโต๊ะมีอาหารฟลูคอร์สจานใหญ่หลากหลายจานไม่ต่างไปจากอาหารที่ฮอกวอตส์ ที่มุมโต๊ะฟากใกล้กับเตาผิงรูปงูยักษ์ นายลูเซียสกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่หัวโต๊ะ โดยมีนางนาร์ซิสซาร์นั่งอยู่ด้านข้าง และอีกข้างหนึงเป็นเด็กชายที่มีผิวสีซีดและผมบรอนซ์ทองหวีเสยไปด้านหลัง

“ เดรโก...ฮอกวอตส์เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” เสียงของนางนาร์ซิสซาร์ดังขึ้น

“ก็งั้นๆแหละครับ...น่าเบื่อ...พวกเลือดสีโคลนเยอะแยะ น่าขยะแขยง...” เด็กชายคนนั้นกล่าวขึ้นอย่างสะอิดสะเอียนขณะตักสตูเนื้อเข้าปาก

“นั่นสินะ...มีแต่เลือดสีโคลนนี่” เฮอร์ไมโอนีพูดประชดเบาๆพลางเบ้หน้าเล็กน้อย

“นั่นมันตอนปิดเทอมเมื่อปี1 นี่นา...” มัลฟอยในร่างวิญญาณพูดขึ้น โดยไม่ได้ใส่ใจคำพูดเด็กสาวเลย

“ จริงสิเดรโก...ชั้นกำลังว่าจะทำเรื่องให้แกย้ายไปเรียนที่เดิร์มแสตรงค์...แกจะว่าไง? ที่นั่นโด่งดังเรื่องศาสตร์มืด ถ้าขืนยังอยู่ที่ฮอกวอตส์นี่...แกคงไม่พัฒนาไปกว่านี้หรอก” นายลูเซียสกล่าวเสียงเข้ม ในขณะที่ใบหน้าของเด็กชายดูลอกแล่กและสับสน

“ เอ่อ...คุณคะ..ถ้ายังไงให้เวลาเดรโกคิดสักหน่อยเป็นไง?...ชั้นว่านี่มันออกจะกระทันหัน..”นางนาร์ซิสซาร์กล่าวกับสามี ในขณะที่นายลูเซียสลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ถ้างั้นชั้นให้เวลาแก...คืนนี้ชั้นกลับจากกระทรวงแล้วจะฟังคำตอบ...” พูดจบ นายลูเซียสก็เดินตรงมาที่ประตู

“ แย่ล่ะ!!มาซ่อนนี่เร็ว!!” มัลฟอยร้องเสียงเบาพลางฉุดเด็กสาวแล้วไปซ่อนตัวหลังรูปปั้นหินรูปตัวกริฟฟินที่กำลังถูกงูยัษ์รัดอยู่

“ เดินทางดีๆนะคะ...” นางนาร์ซิสซาร์เดินไปส่งสามีที่หน้าประตู เมื่อทั้งสองเดินลับตาไปแล้ว เฮอร์ไมโอนีและมัลฟอยค่อยๆเดินออกจากหลังรูปปั้น และก็พอดีกับที่เด็กชายผิวซีดเดินออกมาจากประตูพอดี เกิดแรงดูดที่โถมเข้าใส่ร่างวิญญาณของมัลฟอยอีกครั้ง


part 8

“มัลฟอย!” เฮอร์ไมโอนีร้องอย่างตกใจด้วยเสียงเบา

“ชั้นอยู่นี่...” มัลฟอยในร่างเด็กเอ่ยขึ้น ทำให้เฮอร์ไมโอนีรู้สึกแปลกๆ

“อย่าจ้องแบบนั้นซี่!!” มัลฟอยบอกอย่างหงุดหงิดและหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยพลางเดินนำไปยังห้องของตน

“ เอ้อ...ขอโทษ...ชั้นรู้สึกว่าเหมือนกำลังคุยกับเด็ก...” เด็กสาวตอบก่อนจะเดินเข้ามาในห้องที่เธอเข้าใจว่าน่าจะเป็นห้องนอนของมัลฟอย เพราะในห้องนั้น มีเตียงสีเขียวขนาดใหญ่อยู่ และมีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะทำงานวางอยู่ด้วย แต่จู่ๆเด็กสาวก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อเธอถูกผลักให้ลงไปนอนอยู่บนเตียง โดยที่ร่างเด็กชายของมัลฟอยคร่อมอยู่ด้านบน

“อย่าคิดว่าชั้นเป็นเด็กอายุ11 –12 ซี่ .. อย่าลืมว่า วิญญาณชั้นตอนนี้อายุเท่าๆกับเธอนั่นแหละ...” มัลฟอยกระซิบบอกเบาๆ ทำให้เด็กสาวเบิกตาโตอย่างตกใจและพูดอะไรไม่ออก

“อีกอย่าง...ที่นี่...ห้องนอนของชั้น...มีเตียงพร้อม...”เขาพูดค้างไว้ สร้างความอายให้กับเด็กสาวเป็นอย่างมาก มัลฟอยใช้สองมือกดแขนทั้งสองของเธอลงกับเตียง ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าลงมาใกล้

“อย่า...อย่านะมัลฟอย!!” เฮอร์ไมโอนีตั้งต้นที่จะขัดขืนทันที ใบหน้าเธอแดงขึ้นและหัวใจเธอก็เริ่มเต้นรัวเร็วยากที่จะควบคุม แต่อาการขัดขืนก็จางหายไปทันทีเมื่อริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเร่าร้อน เด็กสาวรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่เข้ามาในร่างกายเธอ ลมหายใจที่หอบถี่อยู่ข้างแก้มเธอ มันเป็นจูบที่ต่างไปจากทุกครั้ง มันไม่ได้มีแต่ความอ่อนโยน อบอุ่น แต่มันทำให้เธอไม่อาจขัดขืนได้ ร่างของเธอเหมือนกำลังจะค่อยๆหลอมละลาย เด็กสาวใช้สองแขนโอบรอบคอของเขา นิ้วมือของเธอสัมผัสกับเส้นผมอ่อนนุ่มสีทองบรอนซ์ แล้วริมฝีปากทั้งสองก็ค่อยๆคลายออกจากกัน

“ถ้ามากไปกว่านี้...ชั้น...คงอดใจไม่ได้...” มัลฟอยกระซิบบอก ดวงตาสีซีดที่จ้องมองลึกลงไปในดวงตาคู่น้ำตาลของเธอ ทำให้เด็กสาวรู้สึกหวั่นไหวในใจแปลกๆ เธออยากให้เขาสัมผัสเธอมากกว่านี้ เฮอร์ไมโอนีใช้มือทั้งสองรั้งใบหน้าเขาลงมาจูบ มัลฟอยค่อยๆขยับริมฝีปากช้าๆ แล้วค่อยๆเลื่อนลงมาตาซอกคอ มือข้างหนึ่งของเขาสัมผัสลูบไล้ไปตามเรียวขาขาวเนียนไปจนถึงต้นขา มืออีกข้างค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของเด็กสาวทีละเม็ด และค่อยๆไล่จูบลงมาจนถึงเนินอกของเธอ

“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เด็กสาวหน้าแดงก่ำเมื่อมองลงไปที่ร่างของตนเองที่แทบจะไม่เหลือเสื้อผ้าอยู่เลย เธอรีบติดกระดุมอย่างเร่งร้อน

“นายน้อยครับ...ผมเตรียมของว่างไว้แล้วนะครับ” เสียงเอลฟ์ประจำบ้านแก่ๆดังขึ้น

“ชั้นไม่กิน!!” มัลฟอยร้องอย่างหงุดหงิดตอบกลับทันที เมื่อเสียงย่ำเท้าของด็อบบี้ค่อยๆเบาลงจนเงียบสนิทแล้ว

“ให้ตายสิ!” เขาถบสออกมาทันที ในขณะที่เฮอร์ไมโอนีนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกอายมาก

“เสียดายล่ะซิ?” มัลฟอยเลิกคิ้วสูงแล้วถามเธอ

“จะบ้ารึไง!!” เฮอร์ไมโอนีตอบรวดเร็วแทบไม่หายใจ หัวใจเธอยังเต้นแรงไม่หยุดและใบหน้าก็ยังคงเป็นสีแดงเข้ม

“ เอาล่ะ...เรามาจัดการเรื่องนี้ก่อนดีกว่า....” เฮอร์ไมโอนีรีบพูดขึ้นเปลี่ยนเรื่อง

“ว่าไง?...เราต้องแก้อะไรในอดีตครั้งนี้กัน” เด็กสาวร้องถาม แต่ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่มัลฟอยอยากได้ยินน้อยที่สุด เขาก้มหน้าลงนิ่ง

“เย็นนี้...พอพ่อชั้นกลับมา...ชั้นต้องบอกเขาว่า ชั้นจะไปเดิร์มแสตรงค์” เขาพูดด้วยเสียงเบาโดยไม่ได้มองหน้าเฮอร์ไมโอนีเลย

“เธอหมายความว่ายังไงกัน!!” เด็กสาวร้องอย่างตกใจและเริ่มรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้อง

“อย่างที่เธอเข้าใจ เกรนเจอร์... ฟังนะ...” มัลฟอยพูดขึ้นก่อนจะจ้องมองมาที่เด็กสาวแล้วเริ่มอธิบาย

“เรื่องทั้งหมด ชั้นเพิ่งเข้าใจเมื่อกี๊นี้เอง... ทำไมชั้นถึงปรุงยาผิด? เพราะชั้นทะเลาะกับเธอและพอตเตอร์..ถูกมั๊ย? แต่ชั้นคงจะไม่คอยหาเรื่องทะเลาะกับพวกเธอถ้าชั้นไม่ได้เกลียดเจ้าพอตเตอร์...เรื่องทั้งหมด

เกิดขึ้นเพราะชั้นกับพอตเตอร์อยู่โรงเรียนเดียวกัน เพราะเธอเป็นเพื่อนกับเจ้าพอตเตอร์ และเพราะเธออยู่กับหมอนั่นตลอดเวลา...เลยทำให้ชั้นหมั่นไส้เจ้านั่นขึ้นเรื่อยๆ ....” มัลฟอยอธิบาย แต่ตอนนี้ ในอกของเด็กสาวกลับรู้สึกแปลกๆ เธอรู้สึกเจ็บอยู่ข้างใน... และน้ำตาก็ค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธอ

“ชั้น...ไม่เข้าใจเลย...” เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่น ดวงตาสีซีดของมัลฟอยมองมาที่ดวงตาเป็นประกายน้ำตาของเด็กสาวอย่างเจ็บปวด ก่อนจะเริ่มต้นอธิบายต่อ

“ ตอนปิดเทอมของปี 1 พ่อชั้นบังคับจะให้ไปเรียนต่อที่เดิร์มแสตรงค์...ชั้นยืนยันที่จะไม่ไปที่นั่น ทั้งๆที่ชั้นเองก็อยากศึกษาศาสตร์มืดนะ...แต่เธอรู้มั๊ยว่าทำไมชั้นถึงไม่ไปที่นั่น...” มัลฟอยถามเสียงเบา แล้วใช้มือหนึ่งขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มสีชมพูของเด็กสาวเบาๆ

“เพราะเธอเกรนเจอร์...ชั้นไม่อยากไปจากที่ๆเธออยู่....ถึงแม้เราจะได้คุยกันเพราะการทะเลาะ...แต่เพียงแค่นั้น...คือสิ่งที่ชั้นต้องการเสมอ...ขอเพียงแค่รู้ว่าเธอยังมีความสุขดี...ขอเพียงแค่ได้มองเธอ...ได้พูดกับเธอ..แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...แม้นั่นจะทำให้ชั้นไม่ค่อยชอบใจพอตเตอร์กับวีสลีย์ที่อยู่ข้างๆเธอตลอดก็ตาม“ มัลฟอยยิ้มนิดๆด้วยความเจ็บปวด แล้วใช้นิ้วมือของเขาปัดเส้นผมหยิกสีน้ำตาลของเด็กสาวออกจากใบหน้าเนียนของเธอ แต่ทันใดนั้นหยาดน้ำตาก็พรั่งพรูออกจากดวงตาสีน้ำตาล เธอโผลเข้ากอดมัลฟอยและร้องไห้โฮอย่างอดกลั้นไม่อยู่

“ ถ้าอย่างนั้น..เธอจะไปเดิร์มแสตรงค์ทำไมกัน!!” เด็กสาวร้องเสียงสั่นและโอบรัดรอบคอเขาแน่นเหมือนกับว่าร่างของเขาจะสลายหายไป

“ เราย้อนเวลากลับมาเพื่อทำสิ่งนี้ไม่ใช่รึไง?” มัลฟอยโอบกอดร่างสั่นเทาจากการร้องไห้ของเด็กสาวไว้อย่างทะนุถนอม

“แต่ชั้นไม่ได้กลับมาเพื่อสิ่งนี้!! ชั้นไม่ได้ย้อนเวลามาเพื่อจะจากเธอไปหรอกนะ!!” เฮอร์ไมโอนีร้อง เสียงเธอสั่นและปนเปกันเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนยากที่จะฟังเข้าใจ

“ชั้นมาแก้อดีต เพื่อจะให้เธอฟื้น เพื่อจะได้พบเธอ เพื่อจะได้อยู่กับเธอต่างหากล่ะ!!” เด็กสาวร้องอย่างเจ็บปวด

“ ชั้นไม่ได้หายไปไหนนี่นาจริงมั๊ย?” มัลฟอยผละออกจากเธอ เขาจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของเธอ

“ชั้น...จะได้...พบเธอ..อีกรึเปล่า?” เด็กสาวถามก่อนจะก้มหน้านิ่ง มัลฟอยใช้มือข้างหนึ่งเชยคางเธอขึ้นมา เขาบรรจงจูบลงบนหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน

“เราเคยพบกันตอนอยู่ปี 1 ชั้นต้องจำเธอได้อยู่แล้วจริงมั๊ย?...” เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงจูบเธอเบาๆอย่างเนิ่นนาน.....



เมื่อนายลูเซียสกลับมาในตอนหัวค่ำ ทุกคนในครอบครัวเข้าไปนั่งทานอาหารเย็นพร้อมหน้าในห้องทานอาหารกันอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนีได้แต่แอบมองเหตุการณ์ต่างๆอยู่ริมประตู ห้องอาหาร

“ว่าไงเดรโก....แกจะไปมั๊ย” นายลูเซียสถามขึ้น มัลฟอยจ้องจานอาหารของตนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบออกไป

“ครับ...ผมจะไปครับ..”มัลฟอยตอบอย่างมั่นคง

“ดี! ชั้นจะยื่นเรื่องไปให้อาจารย์ใหญ่ที่นั่น...เพื่อนของชั้นรู้จักเป็นอย่างดี” นายลูเซียสตอบด้วยท่าทีพอใจมาก แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กสาวที่แอบฟังอยู่ห่างๆเป็นอย่างมาก และแล้ว นาฬิกาทรายก็ส่องแสงสว่างวาบออกมาอีกครั้ง ในกลุ่มแสงสีขาวนั้น ร่างของเฮอร์ไมโอนีกำลังลอยขึ้นช้าๆ แต่เธอก็ต้องแปลกใจที่ร่างของมัลฟอย กลับลอยไปคนละทางกับเธอ

“คงต้องจากกันแล้วล่ะนะ...” เด็กหนุ่มร้องบอกเบาๆ พลางเอื้อมมือไปจับมือเด็กสาวไว้แน่น

“เรา...ต้องได้เจอกันอีกนะ....ที่ไหนสักแห่ง ตรอกไดแอนกอน..หรือฮอกมีดส์...” เด็กสาวกล่าวเสียงสั่น น้ำตาของเธอค่อยๆไหลออกมาอีกครั้ง

“ชั้นไม่ลืมหรอก...เธอเป็นรักแรกของชั้นนะ....” มัลฟอยร้องบอกพลางยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น

“เธอ..ก็เป็นรักแรกของชั้น..มัลฟอย...สัญญานะว่า..เธอจะต้องมาหาชั้น...”เฮอร์ไมโอนีกล่าวเสียงเบา

“ชั้นสัญญา...แล้วเจอกันนะ เฮอร์ไมโอนี...” เด็กหนุ่มพูดขึ้น แล้วมือของทั้งสองก็ค่อยๆแยกออกจากกัน

“แล้วเจอกัน เดรโก!!” เด็กสาวร้องเสียงดังก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นสีขาวโพลน นาฬิกาทรายเรือนสีทองแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วสติของเธอก็ดับวูบลง...





ณ ห้องโถงใหญ่ในช่วงวันแรกของเทศกาลคริสต์มาส ปราสาทฮอกวอตส์เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเพราะหิมะที่ปกคลุมหนา ทะเลสาบกลายเป็นลานน้ำแข็งขนาดใหญ่ เด็กนักเรียนส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับสัมภาระต่างๆที่จะนำกลับบ้านในช่วงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส เช่นเดียวกับรอน และแฮรรี่ ที่จะไปฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่บ้านโพรงกระต่าย

“ เฮอร์ไมโอนี...เธอจะไปบ้านโพรงกระต่ายกับเรามั๊ย” เสียงของรอนร้องทักขึ้นมาแต่ไกล พลางเดินมาสมทบกับเด็กสาวที่นั่งเหม่อมองแก้วน้ำฟักทองของเธออยู่ที่โต๊ะบ้านกริฟฟินดอร์

“อ๋อ...ชั้นจะดูอีกทีแล้วกัน ชั้นอาจจะไปช่วงปลายๆวันหยุด” เด็กสาวหันมาตอบพลางยิ้มให้

“ถ้างั้นไปด้วยกันกับเรามั๊ย จะได้ให้พ่อชั้นไปส่งเธอที่บ้าน”รอนถามต่อแต่เด็กสาวกลับส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่ล่ะรอน...ชั้นว่าจะไปตรอกไดแอนกอนก่อนน่ะ”เฮอร์ไมโอนีตอบด้วยสีหน้าขอโทษ

“ตรอกไดแอนกอน? ไปทำอะไรน่ะ?หลายเดือนมานี้เธอไปที่นั่นกับฮอกมีดส์ทุกครั้งที่มีวันหยุดเลยนะ” แฮรรี่ถามพลางตักเนื้อไก่งวงเข้าปาก เฮอร์ไมโอนีทำหน้าเหมือนใช้ความคิด

“ไม่รู้สิ...ชั้นรู้สึกว่าจะต้องไปรออะไรซักอย่าง...”เด็กสาวพูดขึ้น

“รออะไร?” แฮรรี่ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่รู้สิ...ช่างเถอะ เอาเป็นว่าชั้นรีบไปดีกว่า” เฮอร์ไมโอนีพูดพลางลุกออกจากโต๊ะ และเธอก็ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้เพื่อนทั้งสอง

“เมอร์รี่คริสต์มาสนะทั้งสองคน” เด็กสาวพูดขึ้นก่อนจะยกxxxบของเธอแล้วเริ่มออกเดินไป

“เมอร์รี่คริสมาสเฮอร์ไมโอนี...” แฮรรี่และรอนพูดขึ้นพร้อมกัน แต่เด็กสาวกลับแค่โบกมือมาให้เป็นเชิงรับรู้โดยไม่ได้หันกลับมามองหน้า

“ยัยนั่นไปทำอะไรที่ตรอกไดแอนกอนกันนะ เฟร็ดกับจอร์จบอกว่าเห็นเฮอร์ไมโอนีเดินผ่านที่ร้านของเล่นตลกของพวกเขาบ่อยมาก” รอนยื่นหน้าเข้ามากระซิบบอกกับแฮรรี่ทั้งที่เด็กสาวก็ไม่ได้อยู่ในระยะที่จะได้ยินอยู่แล้ว แต่แฮรรี่ก็เพียงแค่ยักไหล่เท่านั้น



เมื่อเฮอร์ไมโอนีมาถึงตรอกไดแอนกอน เธอยืนมองรอบๆเหมือนมองหาอะไรบางอย่างที่เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าคืออะไร เพียงแต่ในใจเธอกำลังร้องบอกว่า เธอกำลังรอสิ่งที่สำคัญที่สุด วันนี้ในตรอกไดแอนกอน ร้านค้าต่างประดับประดาไปด้วยต้นสนและและแสงไฟหลากสี ร้านตัวบรรจงและหยดหมึก ประดับหน้าร้านด้วยตุ๊กตาซานตาครอสที่ถูกเสกให้ลอยเคว้งคว้างและร้องเพลงคริสต์มาสประสานเสียง



เฮอร์ไมโอนีเดินเข้าไปในร้านกาแฟใกล้ๆ เพื่อดื่มชาร้อนๆคลายความหนาว เธอเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ติดกำแพงกระจกเพื่อจะได้นั่งมองออกไปนอกร้านได้ เด็กสาวพยายามนั่งนึกทบทวนบางสิ่งบางอย่างในหัวเธอ บางอย่างที่เธอจำไม่ได้ แต่ในใจของเธอกำลังร่ำร้องหา แต่สักพัก ก็มีเสียงดังขัดขึ้นมา

“ขอโทษนะจ๊ะหนู...คือว่าเราจะปิดร้านแล้วล่ะจ๊ะ ตอนบ่ายเราจะจัดปาร์ตี้คริสต์มาสกัน ต้องขอโทษที่ทำให้ไม่สะดวกนะจ๊ะ”เจ้าของร้านผู้หญิงวัยกลางคนเดินมาที่โต๊ะเฮอร์ไมโอนีด้วยสีหน้าขอโทษ

“อ๋อ...ไม่เป็นไรค่ะ ..ขอโทษที่รบกวนนานนะคะ” เด็กสาวตอบด้วยใบหน้ายิ้มเล็กน้อยและรีบลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมที่จะวางเงินค่าชาไว้ด้วย

“เดี๋ยวก่อนนะหนู...ชั้นไม่รู้ว่าเธอกลุ้มใจอะไร แต่อย่างน้อยชั้นคิดว่า วันไวท์คริสต์มาส

มักจะมีปาฏิหารย์เสมอล่ะ”เจ้าของร้านบอกกับเด็กสาวอย่างอ่อนโยนก่อนจะโบกมือลาเธออย่างเป็นมิตร ซึ่งเฮอร์ไมโอนีก็ยิ้มรับ

เมื่อเธอเดินออกจากร้าน หิมะบางเบาสีขาวกำลังตกอย่างเงียบๆ อากาศเย็นตัวลงอีกเล็กน้อย

“ไวท์คริสต์มาสหรอ?..ถ้าปาฏิหารย์มีจริง ชั้นก็อยากจะพบสิ่งที่ชั้นเฝ้ารอเร็วๆเหมือนกัน...” เด็กสาวเงยหน้ามองทองฟ้าสีสลัว ปุยหิมะตกลงมาสัมผัสถูกใบหน้าเธอแล้วละลายหายไป เฮอร์ไมโอนีเดินไปตามทางเดินช้าๆ

“หนาวจัง....ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาดูใหม่แล้วกัน...” เด็กสาวพูดขึ้นกับตัวเองเบาๆพลางถูมือไปมาเพื่อไล่ความหนาว เธอกลับหลังเพื่อจะเดินกลับ แต่แล้วสายตาเธอก็ไปหยุดลงที่หน้าร้านบรรจงและหยดหมึก ชายร่างสูงโปร่งผิวซีด ในชุดคลุมสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ เดิร์มแสตรงค์ ผมสีบรอนซ์ที่พริ้วไหวไปตามสายลม และดวงตาสีซีดที่เธอรู้สึกคุ้นเคย

“ ให้ตายสิ...ชั้นล่ะเบื่อหิมะพวกนี้จริงๆ!” เสียงยานคางดังขึ้นจากชายคนนั้น ในขณะที่เฮอร์ไมโอนียังไม่ละสายตาจากเขาแม้แต่น้อย ดวงตาสีซีดของเด็กหนุ่มผู้นั้นประสานเข้ากับดวงตาคู่น้ำตาลของเธอ

แล้วทั้งสองคนก็เข้าสู่ห้วงของความเงียบ เฮอร์ไมโอนีค่อยๆก้าวเข้ามาช้าๆจนมาหยุดอยู่หน้าเด็กหนุ่มผู้นั้น

“เฮ้ !! มัลฟอย ไปกันได้แล้ว”เสียงของเด็กหนุ่มอีกคนที่ใส่ชุดของเดริมแสตรงค์ดังขึ้น แต่ปราศจากการตอบรับของเพื่อนเขา มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนีมองหน้ากันนิ่งแล้วจู่ๆ น้ำตาก็ร่วงโรยออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลช้าๆ

“เอ่อ..ขอโทษนะ...ที่จู่ๆก็ร้องไห้...ชั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน” เฮอร์ไมโอนีร้องบอกพลางรีบใช้สองมือปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดนี่ออก แต่จู่ๆเด็กหนุ่มก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขาซับลงที่ใบหน้าเธออย่างอ่อนโยน

“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ชั้นถึงทนเห็นน้ำตาเธอไม่ได้...” มัลฟอยบอกเสียงเบา ทั้งสองจ้องมองกันนิ่งครู่หนึ่ง

“ชั้นรู้สึกว่ากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างมานานมาก...ในที่สุดชั้นก็พบ”เฮอร์ไมโอนีพูดเสียงเบาพร้อมน้ำตา

ทั้งๆที่เธอจำเขาไม่ได้ แต่เฮอร์ไมโอนีกลับรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่าง ที่เธอเฝ้ารอมานาน น้ำเสียง และความอบอุ่นนี่แหละ ที่เธอจำได้ไม่เคยลืมเลือน ไวท์คริสต์มาส...ดูเหมือนจะทำให้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นมาจริงๆ เด็กสาวโผเข้ากอดมัลฟอยด้วยความรู้สึกคิดถึงและเหงาใจอย่างเปี่ยมล้น

“ ชั้น...รอเธอมาตั้งนาน...” น้ำตาของเธอพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย สองแขนของเด็กหนุ่มค่อยๆโอบรอบตัวเธออย่างแนบแน่น แม้จะไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากเด็กหนุ่ม แต่สัมผัสที่อบอุ่นเช่นนี้ เหมือนว่าเธอเคยได้รับมาก่อน มันคือสัมผัสที่เธอเข้าใจได้ดีแม้จะไม่มีคำพูดใดๆมาอธิบาย จากเวลายาวนานที่รอคอยมาตลอด ในที่สุดก็ได้พบ ผู้คนมากมายที่เดินผ่านต่างหันมามองทั้งสองอย่างสนใจ หิมะบางๆยังคงตกอย่างเงียบๆ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ดูเหมือนทั้งสองจะไม่ได้รับรู้ถึงความเย็นจากหิมะเลยแม้แต่น้อย ความรักดวงเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้นมา จากปาฏิหารย์ของไวท์คริสต์มาส.....


The End

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น